26 ธันวาคม 2552

คำอวยพร






Greetings of the New Year. Wishing you all success in the next.



สวัสดีปีใหม่ขออวยพรให้ท่านจงประสบความสำเร็จในทุกๆสิ่งในปีใหม่นี้



A toast to the New Year. May all your resolutions become completed projects.



ดื่มอวยพรฉลองปีใหม่ ขออวยพรให้สิ่งที่ท่านตั้งใจไว้จงสมหวัง



Happy New Year! Thinking of you as we begin anew.



สวัสดีปีใหม่คิดถึงคุณในปีใหม่นี้



We wish you a holiday season that is filled with wonder and delight!



เราขออวยพรให้เทศกาลวันหยุดของคุณเติมเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์และความเบิกบานใจ



A hope for one world family. From ours to yours



.ปรารถนาให้โลกมีสันติ สำหรับครอบครัวคุณ ...จากเรา



One of my favorite gifts is hearing from you. Greetings of the season to you and yours



.ของขวัญลํ้าค่าคือการทราบข่าวคราวจากคุณเทศกาลแห่งอวยพรนี้จงเป็นของคุณและครอบครัว



Season's greetings. Our best to you during the holidays.เทศกาลส่งความสุขนี้ขอส่งความปรารถนาดีจากเราถึงคุณ



Happy holidays! Wishing you all the joys of the season.Happy holidays! ขออวยพรให้คุณมีความปีติยินดีตลอดทั้งปีHAPPY HOLIDAYS! Have a joyous Christmas and a festive New Year!Happy holidays!



ขอให้มีความปีติยินดีในวันคริสต์มาสและรื่นเริงในวันปีใหม่



Merry Christmas and Happy New Year. Hope the season finds you in good cheer.Merry Christmas and Happy New Year



ขออวยพรให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดีๆ



Christmas Greetings Wishing you a prosperous New Year!Christmas Greetings



ขออวยพรให้ท่านจงเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูตลอดปีใหม่



Season's Greetings-- May love and laughter fill your life at Christmas and throughout the New Year.เทศกาลแห่งการอวยพร ขออวยพรให้ความรัก และเสียงหัวเราะเติมเต็มชีวิตของคุณในวันคริสต์มาสตลอดไปถึงวันปีใหม่



Christmas Cold weather and warm feelingsคริสต์มาสอากาศที่เหน็บหนาวและความรู้ที่อบอุ่น

ประวัติ วัน คริสต์มาส






คริสต์มาสคือ การฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" คำว่า "Christes Maesse" พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas ในภาษาไทย "คริสต์มาส" ก็มีความหมายเช่นกัน คำว่า "มาส" แปลว่า "เดือน"เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า"มาส" คือ"ดวงจันทร์" ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลกเหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า"สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคนอื่นขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซูที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

02 ธันวาคม 2552

วันพ่อ 5 ธันวามหาราช วันพ่อแห่งชาติ


5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

29 พฤศจิกายน 2552

ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2551


เมื่อ พ.ศ. 2550 ประเทศกัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ณ เมืองไครสเชิร์ช นิวซีแลนด์ ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก แต่ประเทศไทยมีปัญหาว่าแผนที่ที่กัมพูชาแนบท้ายว่าเป็นอาณาบริเวณของปราสาทพระวิหารนั้นได้ขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในบริเวณทางทิศเหนือและทิศตะวันตกของปราสาท ซึ่งเป็นพื้นที่ทับซ้อน และได้ขีดเส้นเขตแดนประเทศล้ำเข้ามาในฝั่งไทย[1]

เมื่อเห็นดังนั้นกระทรวงต่างประเทศจึงหารือกับทางกัมพูชา เพื่อให้ร่วมกับฝ่ายไทย จดทะเบียนโบราณสถานอื่นในเขตไทยและพระวิหารของกัมพูชาร่วมกันในทีเดียว เพื่อความสมบูรณ์ของบริเวณพระวิหาร และให้กัมพูชาเปลี่ยนแผนที่ให้ไม่ล้ำเข้ามาในเขตไทยและพื้นที่ทับซ้อน และได้ขอให้ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 เลื่อนการพิจารณาขึ้นทะเบียนของกัมพูชาออกไป[1]

มกราคม พ.ศ. 2551 สภากลาโหมของไทยมีมติประท้วงกัมพูชาในกรณีเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่ลำพังและกล่าวหาว่ากัมพูชาสร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเท็จ ทั้งนี้ฝ่ายกองทัพได้แสดงท่าทีวิตกว่าอาจเกิดความรุนแรงในบริเวณชายแดนได้[2]

ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของไทย ได้หารือร่วมกับนายสก อาน ที่เกาะกง ประเทศกัมพูชา โดยฝ่ายกัมพูชาตกลงที่จะเปลี่ยนแผนที่ที่แนบในเอกสารคำขอยื่นขึ้นทะเบียนมรดกโลก โดยจดทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทประวิหารเท่านั้น ซึ่งตัวปราสาทนี้ศาลโลกได้พิพากษาตั้งแต่ พ.ศ. 2505 แล้วว่าเป็นของกัมพูชา[1]

ทางกัมพูชาส่งแผนฟังที่ปรับแก้ไขใหม่มาให้ฝั่งไทย เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน กรมแผนที่ทหารได้ตรวจสอบว่าแผนที่ใหม่ที่ส่งมานั้นไม่มีการล้ำเข้ามาในเขตไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติจึงได้พิจารณาเห็นชอบ และคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบร่างคำแถลงการร่วม[1]

ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นายนพดล ปัทมะ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้ลงนามคำแถลงการร่วมกับฝ่ายกัมพูชาและยูเนสโก[1]

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เคลื่อนขบวนไปชุมนุมหน้ากระทรวงการต่างประเทศเพื่อขับไล่นายนพดล ปัทมะ ให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเพื่อยื่นหนังสือทวงถามกรณีข้อพิพาทเรื่องเขาพระวิหาร เนื่องจากไม่ยอมเปิดเผยแผนที่ให้ประชาชนได้รับรู้ หลังจากตกลงร่วมกับประเทศกัมพูชาไปก่อนหน้านี้[3][4][5]

วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นายสุวัตร อภัยภักดิ์ นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และ คณะ รวม 9 คน เป็นตัวแทนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติ ครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากพบว่า แผนผังที่ร่างโดยกัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยไม่น้อยกว่า 4.6 ตารางกิโลเมตร ตามแผนที่ฝ่ายไทยที่ยึดถือตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2505 หลังคำตัดสินของศาลโลก และทั้งยังจะสละสิทธิในข้อสงวนที่ไทยจะทวงปราสาทเขาพระวิหาร กลับคืนมาในอนาคต และการดำเนินการ ของผู้เกี่ยวข้องไม่ดำเนินตามขั้นตอนทางกฎหมาย

วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2551 หม่อมหลวงวัลย์วิภา จรูญโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พร้อมนักวิชาการ เดินทางมาพบ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อรับมอบรายชื่อผู้คัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งในส่วนของพันธมิตรฯ ได้มีการมอบรายชื่อให้กับทางสถาบันไทยคดีศึกษาไปแล้ว 6,000 รายชื่อ และวันที่ 27 มิถุนายน มอบให้อีก 3,488 รายชื่อ ซึ่งล่าสุดตัวเลขของผู้ที่คัดค้านการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารมีทั้งหมด 33,400 รายชื่อ ภายหลังจากที่มีการรับมอบรายชื่อจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรแล้ว ม.ล.วัลวิภา ยังได้ไปยื่นหนังสือคัดค้านเรื่องนี้ ต่อนายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย[6]

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะรัฐมนตรียุติการดำเนินการตามมติครม.ที่รับรองการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาสนับสนุนให้กัมพูชาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ไปจนกว่าคดีจะเป็นที่สิ้นสุด หรือจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ศาลได้ไต่สวนฉุกเฉินคู่ความทั้ง 2 ฝ่ายเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน และใช้เวลาไต่สวนกว่าสิบชั่วโมง จนมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเมื่อเวลา 02.00 น. ได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งดังนี้[7][8]

1.ให้เพิกถอนการกระทำของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอร่างคำแถลงการณ์ร่วม ฯ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาและมีมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ
2.เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ที่มีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์ร่วม ฯ โดยมอบหมายให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ร่วม ฯ
3.ให้เพิกถอนการลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม ฯ ของนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551
4.มีคำสั่งให้นายนพดล ปัทมะ ยุติความผูกพันตามคำแถลงการณ์ร่วม ฯ ต่อประเทศกัมพูชาและองค์การยูเนสโก
ขณะเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อตกลงกับกัมพูชาว่าเข้าข่ายเป็นหนังสือสัญญาหรือไม่ ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ขาดว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาซึ่งจะต้องผ่านการเห็นชอบของรัฐสภาก่อน[9]

เวลา 2.00 น. วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ 2551 (ตามเวลาประเทศไทย) ที่นครควิเบก ประเทศแคนาดา องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก พร้อมกับสถานที่อื่นอีก 4 แห่ง

วันจันทร์ที่ 22-30 มิถุนายน พ.ศ. 2552 มีการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยที่ 33 ที่เมืองเซวิญา ราชอาณาจักรสเปน ประเทศไทย มีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้ยื่นหนังสือคัดค้านการปฏิบัติงานของคณะกรรมการมรดกโลก ว่าไม่เป็นไปตามธรรมนูญของสหประชาชาติ

23 พฤศจิกายน 2552

เกาะเกร็ด


เกาะเกร็ด

เกาะเกร็ดเกิดขึ้นจากการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงส่วนที่เป็นแหลม ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2265 เรียกว่า “คลองลัดเกร็ดน้อย” ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางแรงขึ้นเซาะตลิ่งทำให้คลองขยาย แผ่นดินตรงแหลมจึงกลายเป็นเกาะ


เกาะเกร็ดมีความเจริญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สังเกตได้ว่าวัดวาอารามต่างๆบนเกาะส่วนใหญ่จะเป็นศิลปะในสมัยอยุธยา แต่คงจะมาร้างคนเมื่อพม่ามายึดกรุงศรีอยุธยาได้ แต่หลังจากกอบกู้เอกราชได้ พระเจ้าตากสินมหาราชจึงโปรดให้ชาวมอญที่เข้ารีตมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ชาวมอญบนเกาะเกร็ดนั้นมีทั้งที่เข้ามาในสมัยกรุงธนบุรี และสมัยรัชกาลที่ 2 การคมนาคมบนเกาะจะใช้จักรยานเพื่อให้เหมาะกับขนาดของเกาะ



วัดปรมัยยิกาวาส (วัดปากอ่าว) ในวัดนี้มีสิ่งที่น่าชมอยู่หลายอย่าง ที่ท่าเรือหน้าวัดจะพบปราสาทไม้ห้ายอดซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเหม (โลงศพมอญ) ของอดีตเจ้าอาวาสตั้งตระหง่านอยู่


ส่วนที่พระอุโบสถมีการตกแต่งด้วยวัสดุนำเข้าจากอิตาลี ศิลปะยุโรปแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่กระนั้นพระองค์ยังรักษาธรรมเนียมเดิม โดยรับสั่งให้ที่นี่ริเริ่มสวดเป็นภาษามอญ และปัจจุบันนี้ ที่นี่เป็นวัดเดียวที่ยังเก็บรักษาพระไตรปิฏกภาษามอญไว้ พระประธานในพระอุโบสถนั้นเป็นปางมารวิชัย ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เจ้าประดิษฐานวรการ ซึ่งเป็นผู้ที่สร้างพระสยามเทวาธิราช รัชกาลที่ 5 ทรงยกย่องว่าพระประธานนี้งามด้วยฝีพระพักตร์ดูมีชีวิตชีวาเหมือนคนจริง เอกลักษณ์มอญอีกอย่างหนึ่งของที่วัดนี้คือ เจดีย์ทรงรามัญที่จำลองแบบมาจากพระธาตุเจดีย์ มุเตา เมืองหงสาวดี ซึ่งคนมอญนับถือมาก ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ


พระวิหาร ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์สมัยอยุธยาตอนปลาย ภาพจิตรกรรมที่เพดานนั้นแปลกตากว่าที่อื่น เป็นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฝีพระหัตถ์หม่อมเจ้าประวิช ชุมสาย ด้านหลังพระวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปประจำจังหวัดนนทบุรี “พระนนทมุนินทร์” เป็นพระพุทธรูปสมัยอยุธยาตอนปลาย ปางขัดสมาธิเพชร ประดิษฐานอยู่ในบุษบกแบบมอญ (จองพารา) สลักโดยฝีมือช่างที่นี่ ที่มุขเด็จหน้าวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อน ซึ่ง ซาง ซิว ซูน ชาวพม่าถวายให้กับรัชกาลที่ 5 พระวิหารเปิดทุกวัน ตั้งแต่ 8.30-16.30 น.


นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ ที่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ จัดแสดงวัตถุต่างๆ ที่ล้วนน่าชม เช่น พระพิมพ์ เครื่องแก้ว เครื่องถ้วยชาม รวมทั้ง “เหม” ที่ พ.อ. ชาติวัฒน์ งามนิยม บรรจงสร้างขึ้นจนนับว่าเป็นงานศิลป์ ชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว นับตั้งแต่การออกแบบโครงสร้าง การต่อลาย การตอกไข่ปลาเพื่อต่อลายบนกระดาษอลูมิเนียม ทุกชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นเหมนี้ล้วนแต่ต้องทำอย่างละเอียด ปราณีต เชื่อว่าชาวมอญคงดัดแปลงลักษณะของเหมมาจากโลงของพระพุทธเจ้าซึ่งก้นสอบปากบานข้างแคบเช่นกัน (ในพิพิธภัณฑ์แสดงภาพไว้) โลงเหมใช้กับศพแห้ง เหมพระจะมีลักษณะพิเศษกว่าตรงที่เจาะหน้าต่างมองเห็นศพด้านในได้


วัดเสาธงทอง เป็นวัดเก่าเดิมชื่อ “วัดสวนหมาก” นอกจากเป็นที่ตั้งโรงเรียนประถมแห่งแรกของอำเภอปากเกร็ดแล้ว ด้านหลังโบสถ์ยังประดิษฐานเจดีย์ที่สูงที่สุดของอำเภอปากเกร็ดด้วย พระเจดีย์เป็นศิลปะอยุธยาย่อมุมไม้สิบสอง มีเจดีย์องค์เล็กเป็นบริวารโดยรอบอีก 2 ชั้น ส่วนด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์องค์ใหญ่อีก 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงลังกา อีกองค์หนึ่งมีฐานเหลี่ยม ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงามมากเขียนลายทองกรวยเชิงอย่างงดงาม พระประธานเป็นพระปางมารวิชัยปูนปั้นขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพี๊ยะอาล๊าต”


วัดฉิมพลี มีโบสถ์ขนาดเล็กงดงามมาก และยังมีสภาพสมบูรณ์แบบเดิมเป็นส่วนใหญ่ หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา


วัดไผ่ล้อม สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีโบสถ์ที่งดงามมาก ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงามเช่นกัน หน้าโบสถ์มีเจดีย์ขนาดย่อมสององค์รูปทรงคล้ายมะเฟือง ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง ประดับลายปูนปั้น คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพี๊ยะโต้”


กวานอาม่าน เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผามอญลายโบราณ เปิดให้ชมทุกวัน การปั้น เครื่องปั้นดินเผานั้น มีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี นับเป็นหัตถกรรม พื้นบ้าน ที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ลวดลายประณีตสวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และถูกนำไปเป็นตราประจำจังหวัดนนทบุรี สองข้างทางเดินบนเกาะมีบางบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะของใช้ ในชีวิตประจำ เช่น กระถาง ครก โอ่งน้ำ ฯลฯ สามารถเข้าไปชมได้


คลองขนมหวาน บริเวณคลองขนมหวานและคลองอื่นๆ รอบเกาะเกร็ด ชาวบ้านจะทำขนมหวาน จำพวกทองหยิบ ทองหยอด ขายส่งและยังสาธิตให้นักท่องเที่ยวได้ชมด้วย





การเดินทาง ลงเรือข้ามฟากได้สองท่า คือ ท่าเรือวัดสนามเหนือ (ไม่ไกลจากท่าน้ำปากเกร็ด) หรือท่าเรือวัดกลางเกร็ด มีเรือบริการระหว่าง 05.00-21.30 น.


ตัวอย่างรายการท่องเที่ยวบนเกาะเกร็ด


1. ลงเรือข้ามฟากที่วัดสนามเหนือ และมาขึ้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาสนมัสการพระพุทธรูปประจำจังหวัดนนทบุรี ชมพิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ 5


2. เดินเท้าจากวัดปรมัยยิกาวาสสู่หมู่ที่ 6 และหมู่ที่ 7 ชม/ซื้อเครื่องปั้นดินเผาสองข้างทาง ชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา


3. ลงเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดเสาธงทอง ล่องเรือไปทางท้ายเกาะสู่วัดใหญ่สว่างอารมณ์ ตำบลอ้อมเกร็ด ให้อาหารปลาหน้าวัด ซึ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำนานาชนิด รายได้ถวายวัดฯ มีมะพร้าวน้ำหอมจำหน่าย


4. ล่องเรือไปทางใต้เลี้ยวขวาเข้าคลองบางบัวทอง หรือคลองขนมหวาน ชมหมู่บ้านขนมไทยสองฟากฝั่งคลอง และซื้อหาเป็นของฝากของขวัญ


5. ย้อนกลับออกมาตรงปากคลอง มีปล่องเตาอิฐที่ผลิตอิฐ บ.บ.ท. อิฐทนไฟแห่งแรกของเมืองไทยล่องเรือผ่านบ้านเกร็ดตระการ วิ่งตรงมาขึ้นท่าน้ำหน้าวัดฉิมพลี เลือกซื้อผลผลิตทางการเกษตร เดินเท้าจากวัดฉิมพลีถึงกลุ่มอาชีพหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผา หมู่ที่ 1 ชมการสาธิตการแกะลายเครื่องปั้นดินเผา หมู่ที่ 1 และซื้อเป็นของฝากของขวัญ ล่องเรือข้ามฟากไปวัดกลางเกร็ด เดินทางกลับ

18 พฤศจิกายน 2552

นาซีเยอรมนี




นาซีเยอรมนี หรือ อาณาจักรที่สาม – เรียกอย่างเป็นทางการว่า อาณาจักรเยอรมัน
(เยอรมัน: Deutsches Reich ; อังกฤษ: German Reich) และในภายหลังเรียกว่า อาณาจักรเยอรมันอันยิ่งใหญ่ (Großdeutsches Reich ; Greater German Reich) – หมายถึงประเทศเยอรมนีช่วงปี ค.ศ. 1933 ถึง ค.ศ. 1945 ระหว่างที่ถูกปกครองโดยพรรคนาซี (NSDAP) ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในฐานะมุขมนตรี และตั้งแต่ ค.ศ. 1934 ในฐานะประมุขแห่งรัฐ นโยบายต่างประเทศของนาซีเยอรมนี บนพื้นฐานของแนวคิด Lebensraum (เป็นแนวคิดการแสวงหาพื้นที่สำหรับการเติบโตของชาวเยอรมัน) เป็นต้นเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง
เยอรมัน: Deutsches Reich ; อังกฤษ: German Reich) และในภายหลังเรียกว่า อาณาจักรเยอรมันอันยิ่งใหญ่ (Großdeutsches Reich ; Greater German Reich) – หมายถึงประเทศเยอรมนีช่วงปี ค.ศ. 1933 ถึง ค.ศ. 1945 ระหว่างที่ถูกปกครองโดยพรรคนาซี (NSDAP) ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในฐานะมุขมนตรี และตั้งแต่ ค.ศ. 1934 ในฐานะประมุขแห่งรัฐ นโยบายต่างประเทศของนาซีเยอรมนี บนพื้นฐานของแนวคิด Lebensraum (เป็นแนวคิดการแสวงหาพื้นที่สำหรับการเติบโตของชาวเยอรมัน) เป็นต้นเหตุสำคัญของสงครามโลกครั้งที่สอง

อ้างอิง
ข้อมูลสถิติประจำปี ค.ศ. 2005 Statistisches Bundesamt (สำนักงานสถิติแห่งสหพันธ์),Statistisches Jahrbook 2005 für die Bundesrepublik Deutschland, p. 8 (เยอรมัน)Germany — Country Study(อังกฤษ)

09 พฤศจิกายน 2552


สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (อังกฤษ: World War I หรือ First World War) หรือเป็นที่รู้จักกันว่า "สงครามครั้งยิ่งใหญ่" (อังกฤษ: Great War) หรือ "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งมวล" (อังกฤษ: War to End All Wars) เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 1914 - ค.ศ. 1918 ระหว่างฝ่ายไตรภาคี (อังกฤษ: Triple Entente) และฝ่ายมหาอำนาจกลาง[1] โดยพบว่ามีทหารกว่า 70 ล้านคนมีส่วนร่วมในการรบ[2] ผลจากสงครามทำให้มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและสูญหาย รวมกันไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน[3]

สาเหตุหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็คือ การลอบปลงพระชนม์อาร์คดุยค ฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ รัชทายาทของบัลลังก์จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยกัฟรีโล ปรินซีป ชาวเซิร์บบอสเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกของแก๊งมือมืด และการแก้แค้นของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีต่อราชอาณาจักรเซอร์เบียก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ก่อให้เกิดสงครามครั้งใหญ่ปะทุขึ้นในทวีปยุโรป ภายในหนึ่งเดือน ทวีปยุโรปส่วนมากก็อยู่ในสภาวะสงคราม

สงครามโลกครั้งที่หนึ่งสิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของฝ่ายพันธมิตร และความปราชัยของฝ่ายมหาอำนาจกลาง - จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมัน ได้แตกเป็นประเทศเกิดใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุโรปกลาง การสื้นสุดของจักรวรรดิรัสเซีย นำไปสู่การก่อตั้ง สหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติรัสเซีย ต่อมา ได้มีการก่อตั้ง สันนิบาตชาติ เพื่อเป็นองค์การระหว่างประเทศที่มีจุดประสงค์เพื่อการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศด้วยวิธีการทางการทูต แต่ทว่าจากลัทธิชาตินิยมที่เกิดขึ้นภายหลังสงคราม ประกอบกับสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง

อนุสาวรีย์ทหารอาสา





อนุสาวรีย์ทหารอาสา เป็นอนุสาวรีย์ที่ตั้งอยู่ ณ ถนนสามเหลี่ยมตรงมุมด้านทิศเหนือของท้องสนามหลวง ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เป็นอนุสรณ์แก่ทหารไทยที่ไปร่วมรบในสมรภูมิยุโรป หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งอุบัติขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2457 โดยประเทศไทยร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีฝรั่งเศส อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460[1]

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงโปรดให้ประกาศรับทหารอาสาสมัครเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2461[1] เดินทางออกจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2461[2] เพื่อเข้ารับการฝึกหัดเพิ่มเติมก่อนเดินทางต่อไปยังสนามรบ ทหารไทยได้ไปปฏิบัติการรบสนับสนุนกองทัพบกฝรั่งเศส และได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารชาติสัมพันธมิตรอย่างกล้าหาญองอาจ ทหารอาสาที่เสียชีวิตในสมรภูมิจำนวน 19 นาย ได้ฝังไว้ ณ ตำบล ฌูบ กูรท์ (Jube Court) ในยุทธบริเวณประเทศฝรั่งเศส ต่อมาจึงมีการฌาปนกิจที่สุสานในเยอรมนี[3] ครั้นสงครามสงบลงซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายชนะ ทหารอาสาได้ทยอยเดินทางกลับสู่ประเทศ ชุดสุดท้ายมาถึงเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2462[2] พร้อมอัฐิของทหารที่เสียชีวิต

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริให้สร้างอนุสาวรีย์สำหรับบรรจุอัฐิของทหารหาญเหล่านั้น ได้โปรดให้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงศ์ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงเป็นผู้ออกแบบ[1] อนุสาวรีย์มีรูปทรงคล้ายเจดีย์ มีซุ้ม 4 ด้าน ประดับด้วยหินอ่อน ด้านหน้าและหลังของอนุสาวรีย์จารึกเหตุผลแห่งการประกาศสงคราม การประกาศรับทหารอาสาสมัคร การจัดกำลังรบ และการเดินทาง อีกสองด้านจารึกชื่อของทหารผู้สละชีวิตจำนวน 19 คน บอกอายุ ยศ และนาม วันเดือนปีและสถานที่ที่เสียชีวิต อัฐิของทหารที่เสียชีวิตได้ถูกนำมาบรรจุ ณ อนุสาวรีย์แห่งนี้เมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2462

01 พฤศจิกายน 2552

วันลอยกระทง







วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 1ค่ำ 15ดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้าย
ดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

17 ตุลาคม 2552

กินเจเพื่ออะไร?







ผู้ที่กินเจอาจจะมีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์หลักสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทดังนี้
กินเพื่อสุขภาพ อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต เมื่อกินติดต่อกันไปช่วงเวลาหนึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกายได้ ปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหารให้มีเสถียรภาพ
กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากอาหารที่เรากินอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อ จิตใจและที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคนเรา
กินเพื่อเว้นกรรม ผู้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งย่อมตระหนักว่าการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นองเราเป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลงเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อผู้หยั่งรู้เรื่องกฎแห่งกรรมนี้จึงหยุดกินหยุดฆ่าหันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

11 ตุลาคม 2552

Roman Empire)

จักรวรรดิโรมัน *-*-*




จักรวรรดิโรมัน (อังกฤษ: Roman Empire) เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งของอารยธรรมโรมันโบราณซึ่งปกครองโดยรูปแบบอัตตาธิปไตย จักรวรรดิโรมันได้สืบต่อการปกครองมาจากสาธารณรัฐโรมัน (510 ปีก่อนคริสตกาล - ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตาล) ซึ่งได้อ่อนแอลงหลังจากความขัดแย้งระหว่างไกอุส มาริอุสและซุลลา และสงครามกลางเมืองระหว่างจูเลียส ซีซาร์และปอมปีย์[1] มีวันหลายวันที่ได้ถูกเสนอให้เป็นเส้นแบ่งของการเปลี่ยนแปลงระหว่างสาธารณรัฐและจักรวรรดิ ได้แก่

วันที่จูเลียส ซีซาร์ประกาศตัวเป็นผู้เผด็จการ (44 ปีก่อนคริสตกาล)
ชัยชนะของออคเตเวียนในยุทธการแอคทิอุม (2 กันยายน, 31 ปีก่อนคริสตกาล)
วันที่สภาซีเนตประกาศยกย่องออคเตเวียนให้เป็นออกุสตุส (16 มกราคม, 27 ปีก่อนคริสตกาล)
จักรวรรดิโรมันเคยมีดินแดนอยู่ในการครอบครองมากมาย ได้แก่ อังกฤษและเวลส์ ยุโรปส่วนใหญ่ (ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไรน์และทางใต้ของเทือกเขาแอลป์) ชายฝั่งของแอฟริกาเหนือ บริเวณมณฑลใกล้เคียงของอียิปต์ แถบบอลข่าน ทะเลดำ เอเชียไมเนอร์ และส่วนใหญ่ของบริเวณลีแวนท์ ซึ่งดินแดนเหล่านี้ จากตะวันตกสู่ตะวันออกในปัจจุบันได้แก่ โปรตุเกส สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี แอลเบเนียและกรีซ แถบบอลข่าน ตุรกี ภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของเยอรมนี ทางภาคใต้จักรวรรดิโรมันได้รวบรวมตะวันออกกลางไว้ ซี่งในปัจจุบันก็ได้แก่ซีเรีย เลบานอน อิสราเอล จอร์แดน จากนั้นในภาคตะวันตกเฉียงใต้ จักรวรรดิได้รวบรวมอียิปต์โบราณไว้ทั้งหมด และได้ทำการยึดครองต่อไปทางตะวันตกซึ่งเป็นบริเวณชายฝั่งทะเลซี่งในปัจจุบันคือประเทศลิเบีย ตูนิเซีย แอลจีเรียและโมร็อกโก จนถึงตะวันตกของยิบรอลตาร์ ประชาชนทั่วไปที่อาศัยอยู่ในจักรวรรดิโรมันเรียกว่าชาวโรมัน และดำเนินชีวิตภายใต้กฎหมายโรมัน การขยายอำนาจของโรมันได้เริ่มมานานตั้งแต่ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเรืองอำนาจสูงสุดในสมัยจักรพรรดิทราจัน ด้วยชัยชนะเหนือดาเซีย (ปัจจุบันคือประเทศโรมาเนียและมอลโดวา และส่วนหนึ่งของประเทศฮังการี บัลแกเรียและยูเครน) ในปี ค.ศ. 106 และเมโสโปเตเมียในปี ค.ศ. 116 (ซึ่งภายหลังสูญเสียดินแดนนี้ไปในสมัยจักรพรรดิฮาเดรียน) ถึงจุดนี้ จักรวรรดิโรมันได้ครอบครองแผ่นดินประมาณ 5,900,000 ตร.กม. (2,300,000 ตร.ไมล์) และห้อมล้อมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งชาวโรมันเรียกทะเลนี้ว่า mare nostrum "ทะเลของเรา" อิทธิพลของโรมันได้ส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านภาษา ศาสนา สภาปัตยกรรม ปรัชญา กฎหมายและระบบการเมืองมาจนถึงทุกวันนี้

จักรวรรดิถูกแบ่งออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกในสมัยของจักรพรรดิไดโอคลีเชียน และถือว่าจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงในช่วงเวลาประมาณวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 476 เมื่อจักรพรรดิโรมิวลุส

ออกุสตุส จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกถูกขับไล่และเกิดการจลาจลขึ้นในโรม (ดูในการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน) อย่างไรก็ตาม จักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ ก็ได้รักษากฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบกรีก-โรมัน รวมถึงศาสนาคริสต์นิกายออโธดอกซ์ไว้ได้ในอีกสหัสวรรษต่อมา จนถึงการล่มสลายเมื่อเสียกรุงคอนแสตนติโนเปิลให้กับจักรวรรดิออตโตมัน ในปีค.ศ. 1453

09 ตุลาคม 2552

ประวัติอักษรไทย


จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พบว่า มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของตัวหนังสือไทย เอาไว้ตอนหนึ่งว่า “เมื่อก่อนนี้ลายสือไทนี้บ่มี 1205 ศกปีมะเมีย พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจและใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้”
ได้มีผู้สันนิษฐาน เรื่องตัวหนังสือไทยไว้หลายแง่มุม เช่น จารึกอักษรที่ภาพชาดกที่ผนังอุโมงวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย น่าจะเป็นตัวหนังสือที่มีมาก่อนตัวหนังสือจากศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ปรับปรุงตัวหนังสือเก่าที่เคยมีมาแล้ว จัดวางสระเสียใหม่ คำว่าใส่อาจหมายถึง การกระทำเช่นนี้ แต่ก็สรุปได้ว่า แต่ก่อนไม่มีตัวหนังสือไทยแบบนี้ และเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีผู้ทราบว่า มีตัวหนังสือไทยแบบอื่นใช้มาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย
ไทยเราเป็นชาติที่เจริญเก่าแก่มาแต่โบราณกาล ได้มีการศึกษาค้นคว้ามาว่า ชาติไทยนั้น เคยมีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดน ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ภาษาพูด คนไทยเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่เรายังคงไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายง่ายเหมือนเรื่องอื่น แม้ในปัจจุบัน คนที่พูดภาษา ซึ่งพอจะย้อนไปได้ว่า ต้นตอเป็นภาษาไทย มีอาศัยอยู่ทั่วไป ในดินแดนที่กว้างใหญ่ของจีน ในมณฑลอัสสัมของอินเดีย ในรัฐฉานตอนเหนือของพม่า ในลาวทั้งหมด ในเวียดนามตอนเหนือ เรายังพอพูดพอฟังเข้าใจกันได้ ในเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน คำหลัก ๆ การสร้างรูปประโยค และไวยากรณ์ ยังคงอยู่
ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นภาษาที่กำหนดเอาเสียงหนึ่ง แทนความหมายหนึ่ง จึงมีคำที่มีเสียงโดดเสียงเดียวอยู่เป็นอันมาก ทำให้ต้องมีคำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยการทำเสียงสูง เสียงต่ำ ให้มีความหมายแตกต่างกัน เพื่อให้มีเสียงพอกับคำที่คิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องมีคำผสมของเสียงหลายพยางค์ เพิ่มเติมขึ้นอีก ความแตกต่างจากภาษาอื่นประการหนึ่งคือ เรามีเสียงวรรณยุกต์ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์วรรณยุกต์ขึ้น 2 เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท ซึ่งเมื่อใช้ควบกับอักษรเสียงสูงและเสียงต่ำ หรือใช้อักษร “ห” นำอักษรเสียงต่ำ ที่ไม่มีคู่อักษรเสียงสูงแล้ว ก็สามารถผันเสียงได้ถึง 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา
ภาษาจีนก็มีเสียงที่เป็นวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเครื่องหมายเขียนในตัวหนังสือ เสียงวรรณยุกต์ของจีนนี้ บ้างก็ว่ามี 4 เสียง และสูงสุดถึง 8 เสียง ซึ่งเมื่อเทียบกับวรรณยุกต์ไทย ก็คงจะเป็นเสียง ที่เกิดจากวรรณยุกต์ ผสมกับสระเสียงสั้นเสียงยาว ซึ่งทางไทยเราแยกเสียงออกไปในรูปสระ ภาษาจีนและภาษาไทย มีรูปประโยคที่เกิดจากการเอาคำมาเรียงกันเป็นประโยค ข้อแตกต่างของไวยากรณ์ไทย ที่ไม่เหมือนของจีน ที่สำคัญคือ คำคุณศัพท์ขยายนาม ภาษาไทยเราเอาไว้หลังนาม แต่จีนเอาไว้หน้านาม เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ คำวิเศษณ์ที่ประกอบกริยา ภาษาไทยเอาไว้ตามหลังกริยา แต่ภาษาจีนมักไว้หน้ากริยา คำวิเศษณ์ที่ประกอบคุณศัพท์ ภาษาไทยเอาไว้หลังคุณศัพท์ แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้าคุณศัพท์ และลักษณะนาม ภาษาไทยจะไว้หลังนาม แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้านาม

06 ตุลาคม 2552

2012..วันสิ้นโลกตอนจบ



>>>>บทสรุปขอคำพยากรณ์ <<<<





ท้องฟ้ามืดมิดผิดปกติ ใบไม้จะพลิกคว่ำพลิกหงาย และดูหดหู่ สัตว์ทั้งหลายจะไม่ปรากฏกายให้เห็น แต่ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอยู่ในบ้านจะเห็นมันวิ่งลุกลี้ลุกลนผิดปกติ หรือบางตัวจะนอนนิ่งน้ำตาซึม
เรื่องเวลาที่แน่นอนนั้น ขอบอกตามตรงว่า ไม่ทราบ เพราะจริงๆแล้วน่าจะเกิดตั้งแต่ ค.ศ. 1999 ตามที่นอสตราดามุสทำนายเอาไว้ แต่เมื่อดูจากเหตุการณ์ในปัจจุบันแล้ว ภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างไม่เคยพบเห็นมาก่อนในชีวิตนี้ และจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ต่างๆ คิดว่าจะเกิดภายใน 1 – 3 ปีนี้
เป็นกรรมของสัตว์โลกนะ ครูบาอาจารย์ท่านเคยบอกว่าระบบจะเริ่มล้างมนุษย์ปลายปี 47 แล้วจะมีเหตุอื่นมาล้างเรื่อย ๆ ด้วยระบบภัยพิบัติทางดิน น้ำ ลม ไฟ โรคระบาดและอุบัติภัยสงคราม และจะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนพระจักรพรรดิลงมาก ภัยพิบัติจึงจะสงบ
ต่อไปที่จะวิบัติหนัก ๆ ก็คือ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อเมริกา ฯลฯ ในโลกนี้ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เพราะกรรมของมนุษย์เป็นแบบนั้น
สำหรับเมืองไทย ต่อไปกรุงเทพฯ ก็มิใช่จะปลอดภัยเพราะฝ่ายรักษาภายในของกทม เริ่มถอนระบบออกไปมากแล้ว และต่อไปภาคใต้แทบจะไม่เหลือ จะเป็นเกาะ แก่งทั้งหมด เราเข้าใจว่าภัยพิบัติในภาคใต้ สัญญาณของยุคจักรพรรดิที่กำลังจะเริ่มต้น ที่จริงมีสัญญาณอย่างอื่นด้วย แต่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เช่น เรื่องธาตุแก้วเจ็ดประการที่เริ่มเข้ามาสู่ระบบแล้ว และมีสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่กระจัดกระจายกันอยู่ในหลายประเทศ เป็นต้น
ครูบาอาจารย์เคยเล่าว่า แค่นาคโก่งหลังขึ้นมามนุษย์ก็ตายเป็นเบือแล้ว ต่อไปบางที่ก็จะหายไปทั้งเกาะ นี่ยังไม่นับภัยพิบัติจากท้าวกกนาคแถวลพบุรีที่ในไม่ช้า (ช่วงท้ายของภัยพิบัติ) จะลุกขึ้นมา (ภายใน) เพื่อไปรอรับพระจักรพรรดิ ขณะที่ทหารลิง 18 กองพล ที่เคยเฝ้ายักษ์ตนนี้อยู่ที่อื่น ครูบาอาจารย์ท่านว่ายักษ์กกนาคตนนี้มีพิษมาก แค่พลิกตัว พิษของยักษ์ก็จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงได้ มนุษย์จะตายไปครึ่งโลก แต่คนที่มีศีลก็ไม่เป็นไร
เราค่อนข้างมั่นในว่า ภายในปี 2560 ประเทศไทยจะได้เป็นมหาอำนาจและไทยกับลาวจะรวมกันเป็นหนึ่ง (ประเทศเดียวกัน) ท่านไหนที่ขยันหมั่นเพียรรักษาศีล ภาวนา ก็จะได้มีโอกาสอยู่ในยุคใหม่ต่อไป ส่วนท่านที่ยังไม่มีศีลธรรมพอ ก็คงต้องไปตามวิถีกรรมของตนเอง
ศาสนาอื่นนั้นไม่มีเหลือ เมื่อถึงเวลาแล้วจะหนีตายมาพึ่งศาสนาพุทธกันหมด เท่าที่ทราบต่อไป มหาอำนาจอย่างเช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ จะต้องมาพึ่งพาไทย ศูนย์กลางโลก ศูนย์กลางศาสนา อยู่ในประเทศไทย ซึ่งต่อไป ที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย จะเป็นใจกลางโลก ใจกลางศาสนา
ในยุคจักรพรรดิ ทั้งโลกจะถูกปกครองโดย 3 ร่มโพธิ์ศรีอัญญาสิทธิ์และอัญญาธรรม พระจักรพรรดิจะเป็นพระมหากษัตริย์ของโลกอย่างที่พวกยิงเขาคิดจะครองโลกกัน นั้นไปไม่ถึงดวงดาวหรอกเพราะวิทยาศาสตร์ถึงทางตันแล้ว
เหตุที่เกิดในภาคใต้ซึ่งเป็นเขตพระพุทธศาสนายังรุนแรงขนาดนี้ ต่อไปเหตุที่เกิดในเขตศาสนาอื่นๆนั้น จะรุนแรงกว่านี้มาก และความหายนะที่จะเกิดขึ้นนั้นก็จะมากด้วย
ถ้าหากศึกษาถึงเชื้อของจิตวิญญาณเดิมของการมาเกิดก็จะเข้าใจว่า อย่างอิสลามและคริสต์นั้น เชื้อจิตวิญญาณเดิมหรือต้นธาตุของจิตวิญญาณของพวกนี้ เป็นพวกยักษ์ ตระกูลต่างๆ ดังนั้น ที่ครูบาอาจารย์ท่านว่า พวกยักษ์นอกศาสนาเขาตีกันนั้นก็พวกยักษ์เหล่านี้แหละที่มีปัญหา และพวกยักษ์เหล่านี้ก็มาเกิดมากในยุคนี้ ส่วนใหญ่ในเขตประเทศไทย และประเทศใกล้เคียงจะเป็นเชื้อนาค เชื้อเทวดา เชื้อครุฑ คนในเขตประเทศไทยส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับการเกิดเป็นเชื้อต่างๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับชาติที่ทำบารมีมาเด่นๆ ว่าเคยทำบารมีในภพภูมิไหนมาก ก็จะมีความเกี่ยวพันกันกับภพภูมิเหล่านั้น และเมื่อถึงเวลาก็จะเป็นการทำบารมีร่วมกันระหว่างภพภูมิ และบางครั้งการทำงานจากภายใน ก็จะส่งผลออกมาสู่ภายนอก แต่คนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นภายใน ที่เห็นก็คือผลที่แสดงออกมาภายนอก และพยายามอธิบายกันด้วยเหตุผลและผลทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นการรู้นอกแต่ไม่ รู้ใน คล้ายๆกับวิทยาศาสตร์พยายามอธิบายเหตุผลภายนอก แต่ไม่เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นเหตุอยู่ภายใน เป็นต้น นี่คือรู้ไม่แจ้งในเรื่องนั้นๆ
ก็เลยเกิดความ “ประมาท” ต่อไปจะมีพระจักรพรรดิเป็นผู้ปกครองโลก พระยาธรรมิกราชจะคล้ายพระสังฆราชและจะมีพระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งจะทำ หน้าที่คล้ายกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามร่มโพธิ์ศรีก็คือ สามโพธิสัตว์ที่ลงมาทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนานั่นเอง และก็มีเหล่าอัญญาสิทธิ์ บางคนก็อาจยังไม่รู้ตัวเอง ถึงเวลาแล้วก็คงจะได้เห็นว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งบางท่านจะมีชื่อเสียงในหมู่เทพ เทวดา นาค ครุฑ กุมภกัณฑ์ ฤาษี ดาบส ฯลฯ พวกเขาเหล่านั้นก็รอยุคพระยาธรรมิกราช แต่พวกมนุษย์ไม่รู้จัก เพราะท่านเหล่านี้จะอยู่อย่างเงียบ ๆ และลี้ลับ ครูบาอาจารย์ท่านเคยเปรย ๆ ให้ฟังว่า สำหรับผู้ทำบารมีเข้มข้นแล้วนั้น “ดังบ่ดี ดีบ่ดัง”
จากที่ครูบาอาจารย์ท่านเล่าสู่กันฟัง สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่มีใครที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมเป็นตัวกำหนดและยุคพระยาธรรมิกราช ก็เป็นพุทธประเพณี เป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกึ่งกลางพุทธศาสนา ในยุคของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
อย่างในยุคพระเวสสันดร หลังจากพระเวสสันดร ได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดยุคพระยาธรรมิกราชหรือยุคพระจักรพรรดิขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าลูกชายพระเวสสันดรจะเป็นพระจักรพรรดิในสมัยนั้นในยุค ร่วมสมัยปัจจุบันนี้ มีบุคคลผู้หนึ่ง ทำทานบารมีจนได้พรแปดประการจากพระอินทร์แล้วเช่นกัน ก็พอจะอนุมานได้ว่า ยุคพระยาธรรมิกราชนั้นเข้ามาใกล้ถึงปลายจมูกแล้ว
ใครที่คิดจะทำบุญกุศลอะไร ก็ให้รีบเร่งทำ หากเมื่อใดที่ผู้ที่เขาได้พรพระอินทร์เขาทำอธิษฐานบารมีเพื่อดูแลพระศาสนา ระบบที่เขาทำหน้าที่ภายในเขาก็จะทำงานตามลำดับ เมื่อถึงตอนนั้นจะเห็นคุณค่าของศีลธรรม ของศีล 5 ศีล 8 ของบุญบารมีที่แต่ละท่านบำเพ็ญเพียร สั่งสมมา
ให้ลองนึกถึงคลื่นยักษ์ในภาคใต้ดูว่า คลื่นยักษ์ขนาดไหนที่ทำให้ด้ามขวานไทยเหลือเป็นเกาะแก่ง และคลื่นยักษ์ขนาดไหนที่จะสามารถทำให้เกาะขนาดประเทศไต้หวันหายวับไปได้ใน พริบตาเมื่อไหร่ก็ตามที่นาคใหญ่ทำงาน จะสั่นสะเทือนไปทั้งโลก หากจะเทียบเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ผ่านมา เป็นแค่นาคใหญ่โก่งหลังหรือสะดุ้งเพียงเล็กหน่อย ลองจินตนาการดูว่า หากพวกนาคบางพวกมีหน้าที่ทำฤทธิ์เพื่อล้างพวกผู้มีศีลธรรมไม่เพียงพอ สำหรับอยู่ในยุคพระยาธรรมบนโลกนี้ก็จะเหลือคนไม่มากอย่างที่พระสูตรบอกไว้

เหตุการณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้น จะมีอยู่วันหนึ่งที่เหตุการณ์รุนแรงที่สุด คลื่นพลังมหาศาลจากจักรวาลจะกระแทกลงมายังโลก เป็นพลังงานที่เกิดจากลมพายุสุริยะอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์จุดที่ 11 มนุษย์ทุกคนบนโลก จะได้พบกันเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัว บรรยากาศช่วงแรกๆจะรู้สึกหดหู่ เวิ้งว้าง ท้องฟ้าจะวังเวงพิกล หลังจากนั้นไม่นานนัก ลมจะแรงขึ้น แรงขึ้น เสียงฟ้าเสียงลมจะแผดเสียงกึกก้องดังที่สุด ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนี้มาก่อนในชีวิต เป็นเสียงของพญามัจจุราชที่พิพากษาโลกในด้านความเป็นมนุษย์คนชั่วทุกคนจะถูก ประหารชีวิตและจะตายอย่างทรมาน ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำสังคม ผู้นำเศรษฐกิจ ผู้นำลัทธิ ฯลฯ ส่วนคนดีจะได้รับการยกเว้นเอาไว้ให้ได้ทำความดีโดยไม่มีอุปสรรคต่อไป
ปลายปี 2548 นี้ จะเกิดสงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้มีคนตายจำนวนมาก ส่วนผู้ที่รักษาศีล 5 ขึ้นไปจะรอด และอีก 5 ปีต่อไปน้ำจะท่วมภาคใต้ และจะร้ายแรงกว่าสึนามิหลายเท่า ผู้คนที่รอดชีวิตจำต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อให้พ้นภัยโดยระหว่างทางจะพบกับ คนนอนตายเกลื่อนกลาดจำนวนมาก
คนที่ไม่เคยเข้าวัดก็รีบเข้าวัดซะ ตอนนี้ก็ยังทัน รีบหาของดี วัตถุมงคลติดตัวไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มีศีลดีอยู่แล้วก็ยิ่งดีและสุดท้ายให้นั่งสมาธิ เพราะไม่มีสิ่งใดจะช่วยเราได้นอกจากสมาธิ และผู้ที่ปฏิบัติสมาธิได้อภิญญา เรียกว่าให้อยู่ใกล้คนดีเข้าไว้และปี 2549 พระศรีอารย์ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่สวรรค์ชั้นดุสิตในตอนนี้ จะลงมาเกิดเป็นมนุษย์ (ท่านลงมาเกิดในคราวนี้ไม่ใช่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า แต่เพื่อช่วยให้ผู้คนรอดพ้นจากเหตุการณ์อันเหลือที่มนุษย์จะรับมือได้ไหว ครั้งนี้ เพื่อช่วยให้พ้นจากภัยสงครามครั้งมหึมาที่จะทำให้มีคนตายมหาศาลที่กำลังจะ เกิดขึ้น ท่านอาจจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ได้แต่ยังไม่แสดงตัวเท่านั้น)
หากท่านไม่แน่ใจว่าตัวท่านมีความดีพอที่จะรอดพ้นจากมหาภัยพิบัติครั้งนี้ละ ก็ ขอให้หาของดีติดตัวเอาไว้เป็นอย่างดี หรือถ้าหาของดีไม่ได้จริงๆ ก็จงทำตัวของท่านให้เป็นคนดีเพื่อความดีจะรักษาตัวของท่านเอง หากท่านไม่เชื่อก็จงอย่างเพิ่งปฏิเสธ เช่น เชื้อโรคที่ตาเปล่าของเรามองไม่เห็น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันมี เพราะเรามีเครื่องมือคือกล้องจุลทรรศน์ที่จะส่องเห็นแล้ว ส่วนเรื่องอย่างอื่นเช่นที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้า เครื่องมือที่จะเห็นก็มีแล้วคือการปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ แต่อยู่ที่ท่านจะใช้เครื่องมือ หรือรู้วิธีใช้เครื่องมือนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง
ผู้เขียนเคยอ่านหนังสือที่หลวงพอฤาษีลิงดำ ท่านเขียนไว้ว่า อีกไม่กี่ร้อยปี จะมีพระมหากษัตริย์ท่านหนึ่งเดินทางจากเหนือมาบูรณะวัดท่าซุง ขณะนี้ วัดท่าซุงก็ยังคงเป็นปกติดี แสดงว่าหลังจากนี้ไม่นานนักคงต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้วัดท่าซุงร้าง ซึ่งปัจจุบันวัดท่าซุงยังมีคนไปทำบุญถือศีล ปฏิบัติธรรมอย่างไม่ขาดสาย แต่จะมีเหตุใดเล่าที่ทำให้วัดร้างได้นอกจาก..
(อาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ระหว่างชาติซึ่งเป็นชนวนให้เกิดอภิมหาสงครามครั้งใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศไทยก็เป็นได้)
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ จงหมั่นทำดีเพื่อรักษาชีวิตรอดเทอญ

ประเทศไทย เป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ ที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองรักษาไว้ ซึ่งจะได้รับความบอบช้ำจากมหันตภัยธรรมชาติน้อยที่สุดในโลกและจะเป็นอู่ข้าว อู่น้ำซึ่งมีความเจริญเป็นศูนย์กลางของโลกต่อไป
มนุษย์ที่รอดชีวิตไปได้ จะเข้าสู่ยุคใหม่ จะมีจิตใจที่ดีงามและมีอายุไขที่ยาวจนน่าประหลาดใจ มีอารยธรรมเจริญก้าวหน้า โดยที่ไม่ได้สร้างเทคโนโลยีที่ก่อปัญหาให้กับโลกมากมายเช่นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อสื่อสารกับเพื่อนมนุษย์ต่างดาวได้ ซึ่งแม้แต่ปัจจุบันบางคนก็ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงก็ตาม ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของโลก และเป็นประเทศแรกที่มีผุ้สร้างยานอวกาศไปท่องจักรวาลได้เป็นแห่งเดียวของโลก โดนใช้พลังจิตในการขับเคลื่อนโดยไม่ใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ให้เกิดพลังงานที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติของโลกให้เสียหายเหมือนอย่างเช่นปัจจุบัน
นอกจากนี้ต่อมไพนิล หรือตาที่3ของมนุษย์จะถูกฟื้นฟูขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนสามารถเข้าถึงสภาวะนิพพานได้ง่ายขึ้นกว่าในอดีตในระยะเวลาไม่นานนัก (ภายใน6ปี)
พระศรีอริยะเมตไตร จะเปิดเผยพระองค์ เพื่อปลอบประโลมสร้างขวัญกำลังใจให้กับมวลมนุษยชาติ ที่มีความบอบช้ำทางจิตใจซึ่งในขณะนี้พระองค์ท่านได้เสด็จลงมาบนโลกมนุษย์ แล้ว กำลังเป็นสามเณรในพุทธศาสนา และพระองค์ได้มาปรากฏที่ประเทศไทยนี่เอง



ที่มาให้อ่านกันนั้น...ไม่ได้ให้เชื่อ...แต่ให้เราระมัดระวังกันไว้




เพราะอนาคตวันข้างหน้าจะเกิดกับเราบ้างเราไม่อาจรู้ได้






เพราะฉะนั้น..การมีสติใช้การดำรงชีวิตนั้นดีที่สุด

2012......วันสิ้นโลกตอน2

ต่อ....>>>
การเตรียมตัวเตรียมปัจจัยเพื่อตนเองและสมาชิกในครอบครัว
1. เตรียมอาหารและน้ำดื่มไว้ที่บ้านอย่างน้อย 3-6เดือน
2. เครื่องนุ่งห่มเพื่อความอบอุ่นของร่างกาย ได้แก่ เสื้อผ้า กระเป๋าน้ำร้อน ผ้าห่ม ฯลฯ เพราะในช่วงเวลานั้นอากาศจะหนาวเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ
3. เครื่องใช้ที่จำเป็น
4. ที่อยู่อาศัย
5. ยารักษาโรค
6. ด่างทับทิมและคาราไมล์(จำเป็นมาก) ห้ามกินอาหารที่มาได้ล้างด้วยด่างทับทิม เพราะจะมีทั้งเชื้อโรคและสารกัมมันตรังสี ส่วนอาราไมล์ จะมีไว้รักษาโรคทางผิวหนังที่ดูเหมือนจะยากต่อการรักษา แต่เมื่อทาคาราไมล์แล้ว จะหายได้อย่างน่าอัศจรรย์
7. ยานพาหนะ เช่น เรือ เสื้อชูชีพ
8. เครื่องช่วยชีวิต
9. แสงสว่างเช่น เทียน ตะเกียงพายุ (เวลานั้นท้องฟ้าจะมืดมิด 7 วัน เท่ากับ 1 ราตรี และจะมืดมิดรวม 7 ราตรี หรือ 49 วัน ไฟฟ้าจะดับทั่วโลก)
10. เครียมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

02 ตุลาคม 2552

ค.ศ.2012.....มันอาจจะเป็นจริง

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน..(ความเชื่อส่วนบุคคล)


คำพยาการณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้า
อานันทะ ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะเกิดการณ์ร้ายแรง จะมีการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ฝนเหล็กจะตกจากอากาศ ไฟจะลงมาจากอากาศ จะเผาผลาญประชาชนให้พินาศ จะมีการล้มตายซึ่งกันและกันเป็นอันมาก แต่ว่า ดูก่อนอานนท์ก่อนกึ่งพุทธกาล 15 ปี จะถือว่าเป็นการณ์ร้ายแรงหาได้ไม่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลังกึ่งพุทธกาลไปแล้วอานันทะ ดูก่อนอานนท์ จะมีความร้ายแรงมากกว่าก่อนกึ่งพุทธกาลมาก ยักษ์นอกพุทธศาสนาจะรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายจะล้มตายกันฝ่ายละมาก ๆ สมณะ ซี พราหมณ์ จะล้มตาย จะตายไปฝ่ายละครึ่งจึงเลิกรากัน สำหรับประเทศที่นับถือพุทธศาสนาจะมีภัยเหมือนกัน แต่ไม่ร้ายแรงนัก”พระพุทธเจ้าบอกว่า ค.ศ. 2012 โลกจะไม่สลาย พระพุทธศาสนาจะทรงอยู่ได้ตลอด 5000ปีทรงตรัสชี้ว่า เขตประเทศต่อไปนี้ จะเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากจะสามารถทรงพระพุทธศาสนาตลบ 5000ปี นี่หมายถึงประเทศไทย
ถ้าสงครามใหญ่เกิดขึ้น คนไทยจะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้นในเมื่อเห็นการสูญเสีย ความตายเกิดขึ้น ความทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตใจก็เริ่มเป็นกุศล เวลานั้นบรรดาพุทธศาสนิกชนก็จะมีความมั่นคงในพุทธศาสนามากขึ้น เพราะกลัวตายสำหรับท่านนักปฏิบัติที่เจริญสมาธิจิตก็จะเร่งรัดตัวเอง กำลังใจก็จะมีสมาธิ ในที่สุดอภิญญาก็จะเกิด ในเมื่ออภิญญาเกิดก็จะเอามาช่วยบรรดาท่านการเตรียมตัวรับมือภัยธรรมชาติครั้งใหญ่1. ก่อนการเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ 15 วัน โลกจะเอียงก้มหัวให้ดวงอาทิตย์มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้น้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือละลาย จะนำไปสู่คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าสู่แผ่นดิน (ปัจจุบันเกิดขึ้นแล้ว)2. เกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่เป็นเวลา 49 วัน ในระหว่างเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน 3. ฝนตกครั้งใหญ่ทั่วโลก (ระยะชำระล้างเป็นเวลา 7 วัน)*ใน 3 วันแรกจะเกิดสงครามนิวเคลียที่ทวีปเอเชีย ในประเทศที่เป็นอริต่อกันภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้1. เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่2. พายุถล่ม3. แผ่นดินแยกและแผ่นดินไหว4. ภูเขาไฟระเบิด (จังหวัดทางภาคกลาง 2 ลูก,ภาคเหนือตอนล่าง 3 ลูก,อีกทั้งที่จังหวัด ราชบุรี น่าน แพร่ อ.ร้องกวาง)5. คลื่นยักษ์จากทะเลา6. โรคระบาดที่สุดจะเยียวยา ได้แก่ Virusteria,อหิวาตกโรคสายพันธุ์ใหม่ ผู้ที่ได้รับเชื้อจะเสียชีวิตทันทีภายใน 6 วัน7. คลื่นเสียงที่รุนแรง ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตยังไม่เคยได้ยินเสียงที่ดังขนาดนั้นมากก่อน8. อดอยากขาดแคลนอาหาร
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Mahatma Gandhi


มหาตมา คานธี (อังกฤษ: Mahatma Gandhi) เป็นผู้นำและนักการเมืองที่มีชื่อเสียงชาวอินเดียและศาสนาฮินดู มีชื่อเต็มว่า โมหันทาส กรรมจันท คานธี (คุชราต: મોહનદાસ કરમચંદ ગાંધી; อังกฤษ: Mohandas Karamchand Gandhi) เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1869 ในแคว้นคุชราตทางทิศตะวันตกของอินเดีย มารดาของคานธี เป็นภรรยาคนที่ 4 ของบิดาของคานธี

ใน ค.ศ. 1883 เดือนพฤษภาคม คานธีมีอายุ 13 ปี ได้สมรสกับเด็กหญิงชื่อกัสตูรบา ซึ่งอายุมากกว่าคานธีประมาณ 6 เดือน ซึ่งสาเหตุที่คานธีสมรสเร็วนั้น มาจากประเพณีท้องถิ่นที่นิยมให้เด็กแต่งงานกันเร็วๆ คานธี มีความสุขกับชีวิตคู่มาก คานธีและกัสตูรบามีบุตร-ธิดา รวมกันทั้งสิ้น 5 คน แต่คนหนึ่ง ได้เสียชีวิตลงตั้งแต่ยังเป็นทารกทำให้เหลือ 4 คน

ใน ค.ศ. 1888 เป็นปีที่บุตรคนแรก (ไม่นับคนที่เสียชีวิตขณะเป็นทารก) ของคานธีได้ถือกำเนิดขึ้น และเป็นปีที่ทางครองครัว ได้ส่งคานธีไปศึกษาวิชากฎหมายที่อังกฤษ โดยก่อนจะเดินทาง คานธีได้ให้สัญญากับมารดาว่า จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์และสุรา และจะไม่ยุ่งเกี่ยวเกาะแกะกับสตรี เพื่อให้มารดาได้อุ่นใจ แล้วเดินทางไปอังกฤษ

เมื่อไปถึงอังกฤษ คานธีพบปัญหาใหญ่ในการดำเนินชีวิตในอังกฤษ นั่นคือ วัฒนธรรม มารยาท สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในอังกฤษนั้นไม่เหมือนอินเดีย คานธีต้องระวังตนในเรื่องมารยาทซึ่งจะมาทำตามคนอินเดียเหมือนเดิมไม่ได้ คานธีต้องปรับตัวบุคลิกต่างๆให้เข้ากับคนอังกฤษให้ได้ และนอกจากนี้ อาหารในอังกฤษที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์นั้นในสมัยนั้นรสชาติจะจืดมาก จะกินเนื้อสัตว์ก็ไม่ควรเพราะได้ให้สัญญากับมารดาไว้แล้ว

30 กันยายน 2552

ศิลปะป้องกันตัว...สุภาพสตรี



มีอยู่หลายครั้งที่จะได้รับคำถามเรื่องการป้องกันตัวจากสุภาพสตรีหลาย ๆ ท่าน
ว่าจะเรียนการป้องกันตัวยังไงดีโดยต้องการฝึกที่ง่าย เร็ว และใช้งานได้จริง
ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วขอบอกเลยว่า…ยากครับที่จะทำแบบนั้นได้

ทำไมถึงเห็นว่าเป็นอย่างนั้น ดูง่าย ๆ จากปัจจุบันในหลักสูตรพละศึกษาในโรงเรียนส่วนใหญ่
จะกำหนดให้มีการฝึกวิชาศิลปะการสู้สักวิชาหนึ่งลงไปด้วย แต่ผลที่ได้นั้นอย่างที่เห็นกันก็คือ
โดยมากหลังจากเรียนจบแล้วนักเรียนก็จะลืมสิ่งที่เคยได้เรียนไปเสียเกือบหมด
ทั้ง ๆ ส่วนมากต้องฝึกกันทั้งเทอมการศึกษา หรือ บางครั้งเรียนกันถึงปีด้วยซ้ำไป
ทำให้เห็นได้ว่าส่วนมากการฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างเพียงผิวเผินนั้นไม่ได้ผลเท่าที่ควร

การเรียนศิลปะการต่อสู้ของสุภาพสตรีนั้นจะพบเห็นกันมากโดยทำเป็นคอร์สระยะสั้น
โดยมีการเรียนประมาณเดือนหรือสองเดือน ซึ่งการฝึกมักจะแตกต่างจากการเรียนศิลปะการต่อสู้ทั่วไป
โดยฝึกการต่อสู้เป็นท่า ๆ ไป เพื่อให้ผู้เรียนจดจำได้เร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามเนื่องจากการสอนการป้องกันตัวสำหรับสุภาพสตรีนั้น
ค่อนข้างเป็นการสอนที่ดูง่ายสำหรับคนที่ฝึกศิลปะการการต่อสู้มาพอสมควร
อีกทั้งไม่มีการควบคุมในเรื่องการสอนแตกต่างการการฝึกในวิชาต่าง ๆ ที่ต้องขึ้นกับสำนักหรือโรงฝึก
ทำให้การสอนในบางที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

ดังนั้นหากจะเข้าฝึกการฝึกการป้องกันตัวระยะสั้นแล้ว ควรจะหาสถานที่ฝึกที่เชื่อถือได้
และ ผู้สอนมีประสบการณ์สอนพอสมควร เนื่องการการเรียนจะแตกต่างจากการเรียนการต่อสู้โดยทั่วไป
เพราะถึงว่าครูฝึกอาจจะเป็นคนเก่งในการป้องกันตัวแต่การฝึกของสุภาพสตรีจะต่างไปเนื่องจากเหตุผลทางด้านสรีระ
หากไม่เข้าใจความแตกต่างข้อนี้ก็จะไม่สามารถสอนได้อย่างมีประสิทธิผล
ในบางครั้งบางที่มีการสอนท่าตาย(คือใช้แล้วไม่รอดแหง ๆ) ท่าเสี่ยง ๆ ทั้งหลายให้กับสุภาพสตรี
บางท่าเป็นท่าโชว์ออกจะสวยงามซะมากกว่า หรือ ที่พบเห็นมากก็คือท่าที่ต้องใช้การฝึกนานมากเพื่อให้ใช้ได้เหมาะสม
บางครั้งดูแล้วแทนที่จะเป็นท่าที่ใช้ป้องกันตัวได้กลับกลายเป็นว่าอาจจะยั่วโหโหอีกฝ่ายให้มากขึ้นเสียอีก

เรื่องการใช้และพกพาอาวุธก็เหมือนกัน สุภาพสตรีบางท่านคิดว่าไม่ต้องฝึกอะไรไปหรอกแต่ใช้วิธีพกอาวุธแทน
แล้วก็ไปขนซื้อกันมาไม่ว่าจะเป็นเครื่องช๊อตไฟฟ้า ปืน มีด สเปร์ยพริกไทย หรือ ไซเรน
แต่โดยมากกลับพกพาในแบบที่แทบเอาออกมาใช้งานไม่ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ว่าไม่ว่าอาวุธอะไร
ผู้หญิงมักจะนำไปเก็บในกระเป๋าถือ โดยรวมกับของใช้อื่น ๆ หรือ อย่างดีอาจจะแยกช่องไว้บ้าง
แต่เมื่อมีเหตุการณ์ขึ้นมากลับหยิบออกมาใช้ไม่ได้ เช่น หากถูกวิ่งราว(ไปทั้งกระเป๋าเลย) ถูกล๊อคคอ ถูกดึงแขนไว้
กลายเป็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ไม่สามารถเปิดกระเป๋าเพื่อนำอาวุธออกมาใช้ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาตกใจ เมื่อคุมสติไม่อยู่ อาวุธทั้งหลายจะแทบไม่มีประโยชน์เลย

เมื่อผมอยู่ที่ญี่ปุ่น เคยดูรายการหนึ่งที่ให้สุภาพสตรีพกเครื่องไซเรนป้องกันตัวเอาไว้ โดยจะเข้าไปทำร้ายหรือลวนลามในเวลาใด ๆ ก็ได้
หากจำไม่ผิดปรากฏว่า มีผู้ที่สามารถเปิดไซเรนได้เพียงแปดคนจากทั้งหมดหนึ่งร้อยคน! เพราะ ส่วนมากนำไปเก็บในกระเป๋าถือ
บางคนแม้แต่จะรูดซิปกระเป๋าถือยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

15 กันยายน 2552

เทคนิคการเตรียมตัวสอบ


1. ทำตารางสอบ
: โดยจดวันและเวลาที่สอบไว้ให้ชัดเจน

2. อ่านตำราโดยจัดลำดับตามตารางสอบ (ในข้อ 1)
: โดยเริ่มอ่านจากวิชาที่สอบวันแรก ไปจนถึงวันสุดท้าย และควรอ่านให้จบก่อนถึงวันสอบประมาณ 4 วันหรือมากว่านั้น และอ่านทบทวนอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันสอบวิชานั้นๆ

3. พูดคุยกับเพื่อนๆ
: ไม่ใช่ชวนกันคุยเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า ดูหนัง หรือฟังเพลงนะคะแต่เป็นการพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่เราจะสอบ ถ้าจะให้ดีควรหากลุ่มเพื่อนสนิทแล้วเริ่มอ่านหนังพร้อมกัน และเมื่ออ่านจบก็ควรซักถามในส่วนที่ยังไม่เข้าใจเพื่อจะได้เป็นการทบทวนความรู้ให้เพื่อนและเพื่อเพิ่มความเข้าใจให้แก่ตนเองด้วย

4. ค้นคว้าเพิ่มเติม
: ในกรณีที่เรายังเข้าใจในเนื้อหาที่อ่านอย่างถ่องแท้เราก็ควรค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หรือว่าอาจารย์ผู้สอนรายวิชานั้นๆ และจดบันทึกข้อควรจำที่สำคัญๆ เพื่อทำความเข้าใจก่อนสอบ

11 กันยายน 2552








มีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ บริเวณปากอ่าวพังงาเช่นเดียวกัน ขนาดย่อมกว่าเกาะปันหยี เขาพิงกันเป็นภูเขาที่มีลักษณะพิเศษแปลกตากแตกต่างจากภูเขาอื่นใดทั้งสิ้น โดยมีลักษณะเป็นภูเขาสองลูกที่แนบยึดติดกัน เป็นแนวเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา ผู้คนที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเขาพิงกันต่างพากันสันนิษฐานว่าในอดีตกาล คาดว่าจะเป็นภูเขาลูกเดียวกัน แต่ได้ถูกฟ้าผ่าหรือสายฟ้าฟาดอย่างปราณีตจนแยกภูเขาดังกล่าวออกเป็นสองลูกที่แนบชิดติดกันหรือพิงกัน หรืออาจเกิดจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ภูเขาดังกล่าวเกิดรอยร้าวหรือปริแยกเป็นสองส่วน ที่มีลักษณะคล้ายถูกของมีคมตัดเป็นเส้นตรงจากยอดเขาสู่ตีนเขา แต่ยังไม่ได้ถูกแยกออกจากกัน กลับถูกปล่อยให้ยังคงแนบชิดติดกัน จนถูกเรียกว่า เขาพิงกัน




04 กันยายน 2552

ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang)

ฟอร์ด มัสแตง (Ford Mustang) เป็นรถสปอร์ตยอดนิยมของแถบอเมริกาและยุโรปบางส่วน เปิดตัวครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 มัสแตงได้รับความนิยมสูงมาก ในปีเดียวกับการเปิดตัวครั้งแรก รถมัสแตง ถูกนำไปใช้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง จอมมฤตยู 007 มัสแตงมีจุดเด่นในความที่เป็นรถที่ ฝาครอบเครื่องยนต์ด้านหน้าจะยาวเมื่อเทียบสัดส่วนกับรถทั่วไป

มัสแตง มียอดขายเฉลี่ย 1 ล้านคัน ทุกๆ 18 เดือน (สูสีกับ โตโยต้า โคโรลล่า หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อ "อัลติส") จากอดีตถึงปัจจุบัน ซึ่งการที่รถสปอร์ตที่มีราคาแพงกว่ารถเก๋งเล็กๆลิบลิ่ว กลับมียอดขายใกล้เคียงกับรถเก๋งขนาดเล็กราคาถูกยอดนิยมของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความนิยมในมัสแตง

มัสแตง จัดเป็นรถประเภท pony cars คือ เป็นได้ทั้งรถสปอร์ตและรถCompact ทั่วไป ซึ่งเป็นรถที่เอนกประสงค์สำหรับผู้ที่ชื่นชอบรถสปอร์ต เป็นรถที่เล็ก แต่แรงกว่ารถเก๋งทั่วไป

มัสแตง จนถึงปัจจุบันก็ยังผลิตอยู่ โดยแบ่งออกเป็ย 5 เจเนอเรชั่น (โฉม) ตามช่วงเวลาได้ดังนี้















Generation ที่ 1
(รุ่นปี ค.ศ. 1964-1973)




Generation ที่ 2
(รุ่นปี ค.ศ. 1974-1978)





Generation ที่ 3 (รุ่นปี ค.ศ. 1979-1993)



Generation ที่ 4 (รุ่นปี ค.ศ. 1994-2004)






Generation ที่ 5 (รุ่นปี ค.ศ. 2005-ปัจจุบัน)












02 กันยายน 2552

โรคเบาหวาน


โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง และก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหากับ ฟันและเหงือก ตา ไต หัวใจ หลอดเลือดแดง ท่านผู้อ่านสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ โดยการปรับ อาหาร การออกกำลังกาย และยาให้เหมาะสม ท่านผู้อ่านสามารถนำข้อเสนอแนะจากบทความนี้ไปปรึกษากับแพทย์ที่รักษาท่านอยู่ ท่านต้องร่วมมือกับคณะแพทย์ที่ทำการรักษาเพื่อกำหนดเป้าหมายการรักษา บทความนี้เชื่อว่าจะช่วยท่านควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น

โรคเบาหวานคืออะไร

อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

โรคอ้วนหรืออ้วนลงพุง



ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เป็นเบาะกันกระแทกหากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว

โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่

1.อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
2.โรคอ้วนลงพุง[ abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
3.โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย

การวัดปริมาณไขมันในร่างกายไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมากมักจะทำในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อการวิจัย

1.การชั่งน้ำหนักในน้ำแล้วนำมาคำนวนหาปริมาณไขมันและปริมาณกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ แต่ก็ทำในห้องปฎิบัติการณ์เท่านั้น
2.BOD POD เป็นการตรวจโดยเครื่อง x-ray รูปไข่ เครื่องจะคำนวณหาปริมาณกล้ามเนื้อ ไขมันจากความเข้มของเนื้อเยื่อ
3.DEXA: Dual-energy X-ray absorptiometry (DEXA) เป็นการใช้ x-ray หาปริมาณไขมัน

นอกจากนั้นก็มีวิธีหาปริมาณไขมันได้อีกหลายอย่าง

•ใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขนเป็นต้น
•Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา
•การใช้ตารางหนักและส่วนสูง
•การคำนวณดัชนีมวลกาย
•การวัดเส้นรอบเอว
โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่

ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วน้ำหนักก็จะขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติอย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็น โดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้ การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน

ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ ไขมัน cholesterol ,triglyceride LDL ระดับน้ำตาล ละความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ

ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียวกันทั่วโลกไม่ได้ ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ตารางเมตร เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงสูง

จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้ สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน

27 สิงหาคม 2552

ปรีดี พนมยงค์


ศาสตราจารย์ ดร. ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 - 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) หรือ
หลวงประดิษฐมนูธรรม เป็นผู้นำสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้อภิวัฒน์การปกครองของสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตย เป็นนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ อีกหลายสมัย ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยต่อต้านกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น มีชื่อรหัสว่า "รู้ธ" เป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง และเป็น "ผู้ประศาสน์การ" คนแรกและคนเดียวของมหาวิทยาลัยฯ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8และได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะ "รัฐบุรุษอาวุโส" ด้วย

ในปี พ.ศ. 2543 องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้ประกาศบรรจุชื่อปรีดีไว้ใน ปฏิทินบุคคลสำคัญของโลก ปี ค.ศ. 2000-2001

การศึกษา

สำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่ โรงเรียนวัดศาลาปูน อำเภอกรุงเก่า ได้เข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมต้น ณโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร และมัธยมปลาย ณ โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า หรือปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย หลังจากนั้นออกมาช่วยบิดาทำนาหนึ่งปี และจึงได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม เมื่อปี พ.ศ. 2460

ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2462 สอบไล่วิชากฎหมาย ชั้นเนติบัณฑิตได้ เมื่ออายุ 19 ปี และเมื่ออายุ 20 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา เนื่องจากกระทรวงยุติธรรมพอใจในผลสอบ จึงให้ทุนไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส โดยเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยก็อง (Univesite de Caen) และศึกษาพิเศษจากอาจารย์เลอบอนนัวส์ (Lebonnois) จนสำเร็จการศึกษาได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลิเอร์" กฎหมาย (Bachelier en Droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลิซองซิเอ" กฎหมาย (Licencie en Droit)

เมื่อ พ.ศ. 2469 สำเร็จการศึกษาด้านนิติศาสตร์ (Sciences Juridiques) ระดับปริญญาเอก และสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในทางด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง (Diplome d’Etudes Superieures d’Economic Politique) จากมหาวิทยาลัยปารีส ได้ปริญญารัฐเป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย"(Docteur en Droit) นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ศึกษาต่อจนจบดุษฎีบัณฑิตด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยปารีส





19 สิงหาคม 2552

ทนายความ


ทนายความ เป็นวิชาชีพทางกฎหมายแขนงหนึ่ง ในแต่ละประเทศอาจมีศัพท์เรียกทนายแตกต่างกัน เช่น barrister-at-law หรือ attorneyหรือ solicitor ซึ่ง barrister-at-law จะหมายถึงทนายความที่ว่าความในศาล ส่วน solicitor จะเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่ไม่ได้ว่าความ ในอเมริกาจะเรียกทนายความว่า attorney หรือ lawyer ซึ่งว่าความได้ และเป็นทนายความเพียงประเภทเดียว บางครั้งมีผู้แปลคำว่า lawyer ว่านักกฎหมาย แต่ในประเทศไทย ทนายความสามารถรับปรึกษาปัญหากฎหมายและว่าความได้ โดยผู้จะเป็นทนายความ ต้องสอบใบอนุญาตว่าความจากสภาทนายความก่อน ขณะที่บางประเทศ ทนายความต้องจบเนติบัณฑิตย์ก่อน


คุณสมบัติของทนายความ


คุณสมบัติของทนายความในแต่ละประเภทแตกต่างกันไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศ ทนายความในบางประเทศเช่น ประเทศอังกฤษ ต้องสำเร็จเนติบัณฑิต สำหรับคุณสมบัติของทนายความในประเทศไทยนั้น จะต้อง
1.มีสัญชาติไทย
2.สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรืออนุปริญญาทางนิติศาสตร์จากสถาบันที่สภาทนายความอนุมัติ
3.ไม่เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีและไม่เป็นผู้ได้กระทำการใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่น่าไว้วางใจในความซื่อสัตย์
4.ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก หรือเป็นบุคคลล้มละลาย
5.ไม่เป็นโรคติดต่อซึ่งเป็นที่รังเกียจแก่สังคม

Thammasat University








มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2477 โดยมีชื่อเมื่อเริ่ม ก่อตั้งว่า "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง" (มธก.) มหาวิทยาลัยนี้ถือกำเนิดมาจากความคิดริเริ่มของ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ (รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง มหาดไทย ในขณะนั้น) โดยเล็งเห็นว่าการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ขณะนั้นมีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพียงแห่งเดียว เมื่อมีการ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.2475 ประเทศชาติ มีความจำเป็นต้องมีบุคคลที่มีความรู้ ทางกฎหมาย การปกครอง และสังคม มารับใช้ประเทศชาติโดยด่วน จึงได้เสนอร่าง พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย วิชา ธรรมศาสตร์ และ การเมือง พ.ศ.2476 เพื่อเปิดสอนในวิชาแขนงดังกล่าว เมื่อพระราชบัญญัติผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ได้มีพิธี เปิดมหาวิทยาลัยขึ้น เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2477 โดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้กระทำพิธีเปิด และ ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การคนแรกของมหาวิทยาลัย (และเป็นผู้ประศาสน์การ คนเดียว เพราะต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ ตำแหน่ง เป็นอธิการบดี)
ปรัชญาของการตั้งมหาวิทยาลัย ปรากฏตามสุนทรพจน์ ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ รายงานต่อผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ มีดังนี้ "...มหาวิทยาลัยย่อมอุปมา ประดุจบ่อน้ำ บำบัดความกระหายของราษฎร ผู้สมัครแสวงหาความรู้ อันเป็นสิทธิและโอกาส ที่เขาควรมีควรได้ ตามหลักเสรีภาพของการศึกษา..."
ด้วยเหตุนี้มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง จึงเป็นตลาดวิชา และเป็น มหาวิทยาลัย เปิดแห่งแรกของประเทศไทย โดยให้สิทธิแก่ผู้ที่เคยศึกษาในโรงเรียน
กฎหมายผู้สำเร็จประโยคมัธยมศึกษา และเปิดกว้างให้ถึงผู้ที่เป็น ข้าราชการ สมาชิกสภาผู้แทน ฯ ผู้แทนตำบล ครู ทนายความ เข้าเรียน ได้ด้วย ปรากฏว่าในปีแรกมีผู้สมัครเข้าศึกษาถึง 7,094 คน
วิชาที่เปิดสอนมี 2 แขนงคือ หลักสูตรธรรมศาสตรบัณฑิต ซึ่งสอนวิชากฎหมายเป็นหลัก แต่ได้สอนวิชา รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการฑูตด้วย เมื่อจบปริญญาตรีธรรมศาสตรบัณฑิตก็อาจศึกษาต่อปริญญาโท แยกเป็นแขนงนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และการฑูตต่อไป วิชาอีกแขนงหนึ่งคือ วิชาการบัญชี โดยมีหลักสูตร 3 ปี สำหรับประกาศนียบัตร ทางการบัญชี (เทียบเท่าปริญญาตรี) และ 5 ปี สำหรับประกาศนียบัตรชั้นสูงทางการบัญชี (เทียบเท่าปริญญาโท)
จากวิสัยทัศน์ของศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ทำให้ผู้ไม่มีโอกาสได้ศึกษาถึงขั้นมหาวิทยาลัยได้จบปริญญา และ ประกาศ นียบัตรไปรับใช้ประเทศชาติในทางการเมือง กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ วงการธุรกิจ และอาชีพอิสระเป็นอันมาก
สำหรับที่ตั้งมหาวิทยาลัย ครั้งแรกใช้ตึกโรงเรียนกฎหมายเดิมที่เชิงสะพานผ่านฟ้าภิภพลีลา ต่อมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2478 มหาวิทยาลัยขอซื้อ ที่ดินบริเวณท่าพระจันทร์ ซึ่งเดิมป็นที่ของทหาร และปรับปรุงอาคารเดิมพร้อมทั้งสร้างตึกโดม (อันหมายถึงปัญญา และความเฉียบแหลม) เงินที่ซื้อที่ดินรวมทั้งการก่อสร้างได้มาจากเงินที่มหาวิทยาลัย เก็บจากค่าสมัคร และค่าเล่าเรียน (คนละ 20 บาท ต่อปี) นอกจากนี้ ในเวลาต่อมามหาวิทยาลัยยังได้ตั้งธนาคารเอเชียขึ้น เพื่อเป็นสถานที่ สำหรับนักศึกษาวิชาการบัญชี ใช้เป็นที่ฝึกงานด้วย
ในปี พ.ศ.2481 มหาวิทยาลัยตั้งโรงเรียนเตรียมปริญญามีหลักสูตร 2 ปี เพื่อรับผู้ประสงค์จะเข้าเรียนต่อ ที่มหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์และการเมืองโดยตรง โรงเรียนเตรียมปริญญามีหลักสูตรการสอนหนักไปทางด้านภาษา ทั้งภาษาไทย ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาด้านสังคม เช่น ปรัชญา วิชาเทคโนโลยี ดนตรี พิมพ์ดีด และชวเลข เป็นต้น โรงเรียนเตรียม ปริญญามีทั้งหมดรวม 8 รุ่น จนงถึงปี พ.ศ.2490 จึงถูกยกเลิกไป
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 คณะรัฐประหาร ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศ ด้วยเหตุผลทางการเมือง และการ ปกครอง ของคณะรัฐประหาร ทำให้มหาวิทยาลัยได้รับผลกระทบ และถูกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผู้ประศาสน์การ ปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัย การเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ชื่อมหาวิทยาลัยถูกตัดคำว่า "การเมือง" ออก เปลี่ยนเป็น "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ตำแหน่ง ผู้ประศาสน์ การถูกยกเลิก เปลี่ยนเป็นอธิการบดี หลักสูตรการศึกษาธรรมศาสตรบัณฑิต ถูกเปลี่ยนแปลงเป็น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี ความเป็นตลาดวิชาหมดไป ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ พ.ศ.2495
ในปี พ.ศ.2518 ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นอธิการบดี ท่านเห็นว่า ควรที่ จะขยายการศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ ในชั้นปริญญาตรีเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เพราะ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี มีส่วนสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคม เช่นเดียวกับ หลักสูตรทาง สังคมศาสตร์ ที่มี ยู่เดิม พื้นที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ไม่เพียงพอ ต่อการขยายตัว ทางวิชาการและการพัฒนา มหาวิทยาลัยจึงเจรจาขอใช้ที่ดินนิคมอุตสาหกรรม กระทรวง อุตสาหกรรม เนื้อที่ประมาณ 2,400 ไร่ ที่รังสิต เพื่อสนองรับการขยายตัว ของ มหาวิทยาลัย ต่อไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงขยายออกไปที่รังสิต เรียกว่า มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ซึ่งเจริญก้าวหน้าและพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังขยายไปที่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์พัทยาด้วย โดยอยู่บน พื้นฐาน การปลูกฝังจิตวิญญาณความเป็นธรรมศาสตร์ ดั่งเช่น จิตวิญญาณธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์









08 สิงหาคม 2552

เชอรี่แอน

25 กรกฎาคม พ.ศ. 2529


ในป่าแสมบางสำราญ บริเวณหลัก กิโลเมตรที่ 42 ของถนนสุขุมวิท(สายเก่า) ตำบลปางปูใหม่ จังหวัดสมุทรปราการวันนี้ นางสงัดกับนางสายหยุด ศรีเมือง สองสามีภรรยา ชาวบ้านท่อาศัยในบริเวณนั้นตื่นเช้ามาเพื่อช่วยกันหาและจับปูในป่าแสนซึ่งเป็นป่าชายเลนเพื่อนำไปขายเป็นรายได้เลี้ยงชีพเหมือนทุกวันที่ผ่านมา
แต่วันนี้เปลี่ยนไป! เพราะวันนี้นอกจากทั้งคู่จะเจอปูแล้ว ยังเจอศพผู้หญิงอีกด้วย เธอนอนเสียชีวิตอยู่ในร่องน้ำบริเวณในป่าชายเลน แน่นอน.......ทั้งคู่ตกใจรีบไปแจ้งตำรวจสภอ.สมุทรปราการ หลังตำรวจได้รับแจ้ง ไม่กี่นาทีต่อมาก็ยกกำลังพลเกือบหมดโรงพักมายังที่เกิดเหตุ จากการสันนิษฐานชั้นแรกว่า เธออาจเป็นสาวโรงงานในละแวกนั้น อาจถูกลวงมาฆ่า ข่มขื่น เหมือนคดีฆาตกรรมที่เล็กทั่วๆ ไปแต่นี้ไม่ใช่ ข่าวเล็ก ข่าวนี้ ต่อมาได้กลับกลายเป็นข่าวสุดดังไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา เพราะจากการสืบ พบว่า ศพนั้นคือ นางสาว เชอรี่แอน ดันแคน นักเรียนสาวลูกครึ่งวัย 16 ปีของโรงเรียนพระกุมารเยชูวิทยา ซอยสุขุมวิท 101 เธอถูกฆาตกรรมอย่างเลือดเย็น อาจจะถูกบีบคอเสียชีวิต เพราะสภาพศพไม่พบบาดแผลใดๆ
แน่นอนการสอบสวน บุคคลที่เกี่ยวข้องกลุ่มแรกกับความตายของเธอกลุ่มแรก ประกอบไปด้วย มิสเตอร์โจและนางกลอยใจ ดันแคน พ่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอ คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ตำรวจเรียกมาสอบสวนคือ นายวินัย ชัยพานิช หรือเรียกเล่นๆ ว่าแจ๊ค เสี่ยใหญ่วัย 43 ปี (ในขณะนั้น) เจ้าของธุรกิจก่อสร้างมากมายหลายแห่ง ซึ่งฐานานุรูปของเขาคือเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูสาวน้อยเชอรี่แอน (เลี้ยงต้อย?)ประเด็นสำคัญ จากบันทึกประจำวันของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สมุทรปราการ ปรากฏว่า นายวินัย ได้แจ้งถึง การหายตัวของ เชอรี่แอนไว้ เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม หลังการพบศพหนึ่งวัน ในขั้นแรกของคดี ตำรวจยังมืดมน เนื่องจากไม่มีหลักฐานประกอใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งพยานบุคคลในที่เกิดเหตุและหลักฐานแวดล้อมรอบข้าง รวมทั้งวิทยาการสอบสวนในสมัยนั้นอาจยังไม่รุดหน้าเท่าทุกวันนี้จากการสืบสวนเพื่อนสนิทของเชอรี่แอน พบว่า ตอนเย็นวันที่ 22 กรกฏาคม หลังเลิกเรียนแล้ว ทุกคนเห็นเชอรี่แอน เดินขึ้นแท็กซี่ ที่มาจอดรอรับเธออยู่หน้าโรงเรียนตามลำพัง และนี้คือภาพสุดท้ายที่เห็นเชอรีแอน เพื่อนๆ ของเชอรี่แอนไม่มีใครจำทะเบียนรถคนนั้นได้ และรูปพรรณสัณฐานของโชเฟอร์แท็กซี่ทุกอย่างมืดมนหนักขึ้นไปอีก สื่อมวลชนในสมัยนั้น โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เริ่มติดตามข่าวคดีนั้นอย่างต่อเนื่อง กัดแบบไม่ปล่อย เพราะทุกอย่างไม่คืบหน้า เมื่อตำรวจหาหลักฐาน พยานไม่ได้ สื่อก็เร่ง คดีได้รับความสนใจของประชาชน ทำให้ตำรวจจำเป็นต้องปิดคดีนี้ให้เร็วที่สุด พวกเขาจึงต้องวางแผนอย่างหนึ่งขึ้น.......................Z( หาแพะรับบาป) Z

04 สิงหาคม 2552

นิยามรักภาษาอังกฤษ























When you're in love...life is like a romance novel that you never want to end.
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก ..ชีวิตก็เหมือนดั่งนิยายที่คุณอ่านไม่จบ

When you love someone...you'll do anything to reach the heart of the one you love.
เมื่อคุณรักใครสักคน...คุณจะทำทุกอย่างเพื่อชนะใจเขา

When you feel true love...you follow the way of the heart.
เมื่อมีรักแท้...คุณก็พร้อมที่จะไปตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

When love is in your heart...life is so good it's like a dream.
เมื่อมีรักในใจ..ชีวิตก็งดงามดุจความฝัน

When you're in love it has a strange affect on everything you do.

เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งความรัก รักนั้นดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับทุกสิ่งที่คุณทำอย่างประหลาด

When you love someone...everything around you can feel the warmth of your love.
เมื่อคุณรักใคร...ทุกสิ่งรอบๆ ตัวคุณดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นแห่งรักนั้น

When you're in love your only aim is for the heart of the one you love.
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก...สิ่งเดียวที่คุณปราถนาคือ หัวใจรักตอบแทน

When love is in your heart ..it inspires you to be the best you can be.
เมื่อใจคุณมีรัก...รักนั้นจะบันดาลให้คุณทำทุกสิ่งได้ดีเยี่ยม

When you love someone...the seeds you plant grow into love.
เมื่อคุณรักใคร...เมล็ดพันธุ์ที่คุณปลูกก็งอกงามเป็นความรัก

When you're in love you have love to share with everything around you.
เมื่อคุณมีรัก...คุณก็อยากแบ่งปันรักนั้นกับทุกสิ่งรอบๆ ตัว

When love is in your heart you're happy doing the simple chores of life.
เมื่อคุณมีรักในหัวใจ...แม้เรื่องธรรมดาประจำวัน ก็ดูจะทำให้คุณมีความสุขได้

When you love someone no matter how you add it up, the answer remains the same.
เมื่อคุณรักใครสักคน...ไม่ว่าคุณจะคิดไปทางใด คำตอบก็ดูจะออกมาเหมือนเดิมเสมอ

When you're in love the treasure you seek is true and endless love.
เมื่อคุณตกอยู่ในห้วงแห่งรัก...สมบัติล้ำค่าสิ่งเดียวที่คุณแสวงหา ก็คือรักแท้อันเป็นนิรันดร์

When you're bound with love you're a happy prisoner...
เมื่อคุณถูกพันธนาการด้วยรัก...คุณก็คือนักโทษที่มีความสุขที่สุด

When you love someone ...you just can't keep it to yourself.
เมื่อคุณรักใครสักคน...ก็ดูเหมือนว่าคุณจะเก็บรักนั้นไว้ในใจคนเดียวไม่ได้

When you're in love you feel like your heart can life you to a higher place and put you on top of the world...
เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก ... คุณจะรู้สึกราวกับว่า หัวใจพาตัวคุณล่องลอยสู่ความสุขเหนือคนทั้งโลก
"It's not too hard to find some love
but it's also not easy to make that love to be forever."
- - Anonymous - -
อันความรักไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้มา และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่จะรักษาความรักนั้นให้อยู่เป็นนิรันดร์


"Life is beautiful with people like you in it."
- - Anonymous - -
ชีวิตช่างงดงามนัก เมื่อมีคนอย่างคุณอยู่ด้วย


"The only abnormality is the incapacity to love."

ได้มีรักและสูญเสียมันไป ยังดีเสียกว่า ไม่รู้จักความรักเลย


"Thoughts of you brighten up my day."

การได้คิดถึงคุณ ทำให้วันของฉัน..สว่างไสว


"To LOVE is to GIVE."

ความรักคือการให้

"When you love someone, say it. Say it loud. Say it right away,
or the moment...just passes you by."
เมื่อไหร่ที่คุณรักใครสักคน จงบอกเขา บอกไปเลยดังๆ ว่า คุณรักเขามากมายแค่ไหน
อย่าปล่อยจนถึงวันที่เขาไม่อยู่ให้คุณบอกรัก


"Love is composed of a single soul inhabiting two bodies."
-ความรักคือ การรวมจิตวิญญาณของคนสองคนให้เป็นหนึ่ง

26 กรกฎาคม 2552

นวลฉวี











ถ้าจะมีการจัดอันดับ คดีฆาตกรรมที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ของไทย คดีนวลฉวีจะต้องติดอันดับหนึ่งแน่นอนชัวร์ป๊าบ


เพราะอะไรเหรอคดีนี้เป็นคดีแรกที่คนอาชีพหมอฆ่าคนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของไทย การตายของนวลฉวีเป็นโศกนาฏกรรมของความรักที่แสนลึกซึ้ง การตายของนวลฉวีชี้ถึงข้อบกพร่องของศาลไทย และการตายของเธอก่อให้เกิดตำนาน "บ้านผีสิง" จนมาฉายใหม่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจนถึงปัจจุบัน (แต่เมื่อผมอ่านคดีนี้แล้วถ้าผมเป็นหมออธิปผมคงจะฆ่าเธอเหมือนกับเขาแหละ)




นวลฉวี

นวลฉวี เพชรรุ่ง เกิดวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2475 ที่ตำบลเชียงงา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ในครอบครัวที่มีฐานะมั่งคงพอสมควร เพราะมีที่นาให้คนอื่นเช่าแม้จะมีลูก 10 คน แต่ลูกๆ ทุกคนได้รับการศึกษาขั้นดี มีการงานนับหน้าถือตา

นวลฉวีแม้เป็นผู้หญิงรูปร่างบาง ตัวเล็ก หน้าตอพอใช้ได้ แต่เธอก็มีเสน่ห์ ร่าเริง มีชีวิตชีวา และหัวดี เจนสามารถสอบเข้าเป็นนักเรียนพยาบาลที่ศิริราชพยาบาล และจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2497 จากนั้นก็ออกไปทำงานที่โรงพยาบาลภูมิพลประมาณปีเศษก็ออกเพราะมีเรื่องกับคนในโรงพยาบาล จึงย้ายมาเป็นนางพยาบาลที่เมืองบ้านหมี่ประมาณ 1 ปี จากนั้นก็ทำงานในสถานพยาบาลยาสูบปี พ.ศ.2501 โดยพักอยู่ในโรงพยาบาล

ช่วงต้นปี พ.ศ. 2501 นวลฉวีได้เดินทางเที่ยวทางเหนือกับเพื่อนชื่อโมทนี และพบรักกับหมอคนนี้ชื่อ หมออธิป สุญาณเศรษฐกร

และหมออธิป สุญาณเศรษฐกร นี้แหละคือคนที่เปลี่ยนชีวิตของนวลฉวีให้อยู่ในรูปของตำนาน!

หมออธิป สุญาณเศรษฐกร
หมออธิป สุญาณเศรษฐกร เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก 5 คน ในครอบครัว พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา

หมออธิปเป็นหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างดี ใจเย็น และฉลาดเฉลียว เขาสามารถศึกษาชั้นเตรียมวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยจนจบเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยช่วงเวลาว่างหมออธิปจะสมัครทำงานที่อู่รถใกล้บ้าน เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือเรียนและซื้อขนมกิน

ในปี พ.ศ. 2500 หมออธิปจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์ จากสิริราชพยาบาล ได้รับหมายเกณฑ์เข้าประจำสำรองราชการ กรมกำลังพลทหารอากาศ ได้รับว่าที่เรืออากาศโท เข้ารับราชการเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ

ในปี พ.ศ. 2501 หมออธิปย้ายไปเป็นแพทย์รถไฟ หัวหน้าเขต 4 จังหวัดลำปาง

จนพบรักกับนวลฉวีในเวลาต่อมา.................
ด้วยความเปล่าเปลี่ยวของหนุ่มเมืองที่ต้องห่างไกลความเจริญมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งบ้านป่า เมื่อมีโอกาสได้ทำความใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และรู้จักเอาใจอย่างนวลฉวี ทำให้หมออธิปมีความสุขและมีชีวิตชีวา ความรักใคร่ที่ค่อย ๆ ก่อเกิด ชั่วระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ สองคนหนุ่มสาวก็ผูกจิตปฏิพัทธ์ และต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เช่นกัน
หมออธิปได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทสก์พาหญิงสาวทั้งสองเที่ยวด้วยกันประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นนวลฉวีกับเพื่อนก็อำลาหมอเดินทางไปที่เชียงใหม่ต่อ ทิ้งความหลังอันหวานชื่นไว้ที่นครลำปาง ดินแดนแห่งการคร่ำครวญหวลหาของนวลฉวี เธอพบชายหนุ่มในดวงใจเข้าแล้ว

ต่อมาจดหมายจากกรุงเทพฯ ของนวลฉวี ถูกส่งไปถึงมือหมออธิปที่นครลำปางเป็นระยะๆ จนกระทั้งผ่านไป 6 เดือน หมออธิปย้ายกับโรงพยาบาลดังเดิม เขาทำการติดต่อนวลฉวี โดยใช้สื่อทางจดหมายแทนโทรศัพท์เป็นระยะ ความรักทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นจนกลายเป็นสามีภรรยาโดยพฤตินัย โดยใช้บังกะโล และโรงแรม เป็นเรือนหอชั่วคราว

ความรักของคนสองคนดำเนินไปอย่างหวานชื่น โดยต่างฝ่ายปิดบังอำพรางธาตุแท้ของตนเอง…

เดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม 2501 นวลฉวีล้มป่วยในโรงพยาบาลยาสูบ 1 เดือน หมออธิปไปเยี่ยมนวลฉวีหลายครั้ง อาการของเธอบ่บอกว่าตกเลือดมากแต่เธอไม่บอกใครว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไร แต่ดูจากอาการหมออธิปรู้ทันทีว่าเธอคงแท้งลูก
ชีวิตของหมออธิปเริ่มยุ่งเหยิงขึ้น เนื่องจากการมีผู้หญิงเข้ามาในหัวใจของหมอ นางสาวสมบูรณ์ สืบสมาน นักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ ปีสุดท้าย เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของหมออธิป เธอสวยเหลือเกิน
ต่อมาหมออธิปสอบได้ทุนฮุมโบลก์ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอมัน เนื่องจากโรงพยาบาลรถไฟจะเป็นแผนกใหม่ พอกลับมาหมออธิปก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตาที่นี่
ในเดือนมกราคม 2502 ทางการรถไฟส่งหมออธิปไปฝึกงาน โรคหู ตา จมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช 6 เดือน ตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาเยอรมันที่เลขาทูต ทำให้เวลาที่หมอได้เจอนวลฉวียิ่งหดหายไป
ฝ่ายนวลฉวีเริ่มระแคงระคายความรักของหมออธิป ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่างๆ เพื่อจับหมออธิปให้อยู่หมัด ไม่ว่านั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว แทนที่หมออธิปจะรักกับเพิ่มความรำคาญแก่หมออธิปมากขึ้น มีอย่างที่ไหนตามอย่างกับเป็นเมียเรานี้แหละ
11 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี เพชรรุ่ง ที่ อำเภอยานนาวา
หมออธิปกล่าวถึงวันนั้นว่า "ที่จริงผมไม่อยากจดทะเบียนกับเธอหรอก เพราะไรเหรอ มันก็พูดยาก หลายเรื่องบอกไม่ถูก คือเขาชอบตามผมทุกวันทุกคืน งานการเขาก็ไม่ทำ มานั่งเฝ้า ผมนี้รำคาญสุดๆ ผมไม่อยากจดหรอก แต่จดก็จด มันอยากให้จดก็จดไป จะได้ตัดปัญหาซะที"
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม 17 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับสมบูรณ์ สืบสนาม ที่อำเภอพระเนตร(นางสมบูรณ์อยู่ตรงกลางของรูป)
สมรสซ้อน!??
"....พอผมจดทะเบียนกับนวลฉวี สมบูรณ์เขารู้ ขอจดทะเบียนกับเขาอีก ผมก็ตัดปัญหานี้ไป อยากให้เรื่องมันเงียบหาย จะได้ไม่ไปบอกใครให้เป็นขี้หูคนอื่น"

แต่กระนั้นนวลฉวีและสมบูรณ์ก็มีเรื่องระหองระแหงกันนับตั้งแต่จดทะเบียนกับหมออธิป ถึง 7 ครั้ง เคยทะเลาะกันในโรงพยาบาลที่หมออธิปทำงานอยู่ จนหมออธิปเคยขอผู้หลักผู้หญิงออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงสองคนนี้เข้าในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด"

นอกจากนี้นวลฉวีเคยไปฟ้องอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆหลายครั้ง
แม้ว่านวลฉวีจะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับหมออธิปสักที แถมหมอก็ไม่เอาใจใส่ตนเหมือนครั้งก่อนๆ เธอต้องการแต่งงานกับเขา เธอต้องใช้วิธีต่างๆ ให้เขาอยู่ในใจฉันให้ได้
และนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นวลฉวีก้าวผิด จังๆ
พฤษภาคม 2502 นวลฉวีบอกครอบครัวว่าเธอกับหมออธิปจะแต่งงานกัน ครอบครัวเลยเชิญให้หมออธิปมากินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อคุยเรื่องแต่งงาน แต่หมออธิปไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้บอกเธอครับ เธอคิดไปเอง"

4 มิถุนายน 2502 พ่อของนวลฉวี มาพบนวลฉวีที่กรุงเทพฯ นวลฉวีบอกพ่อว่าเธอได้เสียกับหมอแล้วตอนทำงานที่โรงพยาบาลรถไฟ หมออธิปรู้ข่าวเลยบอกว่าจะเลี้ยงดูนวลฉวีให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป"

5 มิถุนายน 2502 นวลฉวีพบหมออธิปอยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น

11 หรือ 12 มิถุนายน 2502 นวลฉวีบอกกับพี่เขยว่าจะไปอยู่กับหมออธิปนี้ไงเตรียมขนของแล้วนะ ส่วนหมออธิปรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ไม่รู้สิ เขาคงไม่รู้มั้ง?

13 มิถุนายน 2502 นวลฉวีถูกไล่จากครอบครัวหมออธิป(ตอนนั้นหมออธิปไม่อยู่บ้าน) มันน่าไล่จริง ๆ นี้มารอตั้งแต่เช้าจนถึงตี 1 ไม่ยอมกลับ พอหมออธิปกลับมาบ้านก็โดนครอบครัวด่า

"เมียแกคนบ้าหรือเปล่าเนี้ย"

เหตุการณ์ครั้งนี้นวลฉวีได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน "สมุดบันทึก" ซึ่งภายหลักสมุดนี้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ(ได้ไง?)ที่ใช้สืบหาฆาตกรที่ก่อคดีฆ่าเธอยกแก๊ง ปัจจุบันหลักฐานนี้อยู่ในการดูแลของห้องพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เคียงข้างกับร่างสงบนิ่งของฆาตกรใจโหดนาม "ซีอุย"

13 กรกฎาคม 2502 เวลา 11.30 น. นวลฉวีเข้ามาโรงพยาบาลดุ่มๆ หาคุณหมออธิป เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกดังนี้...

"ดิฉันพบนายแพทย์อธิปสามีฉันที่โรงพยาบาลรถไฟ จากนั้นก็คุยเรื่องปัญหาชีวิตของเราทั้งสอง...."

หมออธิปเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ นี้ผมทำต้องทำงานนะ มากวนอยู่ได้ ว่าแล้ว หมอก็กำหมัด ต่อยไปที่ใบหน้านวลฉวีจังๆ นวลฉวีกรีดร้อง "ช่วยด้วย หมอรังแกผู้หญิง" , "หมอจะฆ่าเมีย ช่วยด้วยหมอจะฆ่าเมีย" จนหมออธิปเข้ามาปลอบและพาไปยังห้องคนไข้ พร้อมสายตาคนเกือบทั้งโรงพยายามที่มองไปยังคนทั้งสอง

13 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน

14 กรกฎาคม 2502 หมออธิปตกลงเงื่อนไขนวลฉวีให้ปรองดองกัน เพราะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเลยจบลงที่การบันทึกประจำวัน

15 กรกฎาคม 2502 บาดแผลที่หมออธิปชกหน้านวลฉวีลุกลาม และเจ็บปวดมาก แต่นวลฉวีขอตำรวจไม่เอาผิดหมออธิปเพิ่ม เพราะกลัวเขาเสียอนาคต เธอบันทึกเรื่องราวนี้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด...

เรื่องนี้ส่งผลให้นวลฉวีต้องเข้านอนโรงพยาบาล โดยนวลฉวีขอให้หมออธิปเป็นผู้รักษาเธอ แต่ถึงกระนั้นหมออธิปก็ไม่มาหาเธมากนัก

เรื่องนี้หมออธิปเดือดดานสุดๆ ถึงกับระบายเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "อยากจะบ้าตาย ถูกมาบังคับให้นอนเฝ้าด้วย โอ๊ย! ผมต้องทำงานนะ บางคืนก็เฝ้าทั้งที่ทำงานอยู่ ไปเฝ้านานก็ไม่ได้ เดี๋ยวสมบูรณ์เข้าไปอาละวาดอีกเรื่องมันจะวุ่น"

17 กรกฎาคม 2502 พ่อของนวลฉวีมาเพื่อเอาเรื่องกับหมออธิป ช่วงนี้หมออธิปดูแปลกๆ ไป ไม่สนใจเรื่องนี้มานัก เขาพูดสั้นๆ ว่า "แล้วแต่ศาล"

นวลฉวีบันทึกเหตุการณ์นี้ลงสมุดบันทึก ด้วยคำสาปแช่งถึงหมออธิป"เชิญแกไปหาเมียใหม่ตามสบายเถอะ ฉันรู้นะว่าปีศาจในตัวแกจะแสดงบทบาทอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้......."

22 กรกฎาคม 2502 นวลฉวีทำหนังสือร้องเรียนให้สารวัตฝ่ายสืบสวน เล่าว่าหมออธิปไม่ทำตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้ นอกจากนั้นยังทำทารุณกับเธออีก โดยดึงสะโพกไปกระแทกกับก๊อกน้ำและเลือดไหล ความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จึงอยากขอให้พิจารณาดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง

28 สิงหาคม 2502 หมออธิปไปที่โรงพัก เพื่อการทำการสอบสวน เขาสารภาพทุกอย่างตามที่กล่าวหา

31 สิงหาคม 2502 หมออธิปได้รับโทรศัพท์จากนวลฉวีให้ไปหานายธวัชเพื่อนของเธอ และเป็นที่ปรึกษาคดีทำร้ายร่างกายชองเอด้วยในครั้งนี้ หมออธิปไปตามที่นวลฉวีที่ทำการรถไฟสทานกษัตริย์ศึกเวลา 10.00 น. นายธวัชแนะนำให้หมอกับนวลฉวีคืนดีกัน หมออธิปรับปาก จึงได้เขียนจดหมายใส่ซองปิดผลึกให้ พ.ต.อ. เจ้าของคดีนี้ ใจความว่า

"เราจะคืนดีกันแล้ว....."



และก็ถึงวันนั้น...................



1 กันยายน 2502 หมออธิปและนวลฉวีเข้าพบสารวัตรใหญ่พญาไท ขอให้ระงับคดีทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะนั่งรับประทานอาหารที่โรงหนังคิงส์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ

9 กันยายน 2502 นายธวัชไม่สบาย จึงขอลางานเพื่อไปเยี่ยมนวลฉวี นวลฉวีชวนนายธวัชไปวัดสามง่ามเพื่อเอายาไปถวายพระ และให้พระดูดวงให้ พระบอกนวลฉวีไว้ว่า "ต่อไปนี้ซะตาจะดีแล้ว!???"

เวลา 20.30 น. หมออธิปเข้าพบนวลฉวีและนายธวัช พูดจาเรื่องเรือนหอของเราสองคน

เวลา 23.00 น. นายธวัชกลับไปก่อน ต่อมา นางพยาบาลเรียกให้หมออธิปให้ดูคนไข้ ที่กำลังจะคลอด หมออธิปช่วยคนไข้อยู่นานจนถึงเที่ยงคนจึงนำนวลฉวีส่งโรงพยาบาลยาสูบเพราะนวลฉวีรบเร้า



จนกระทั้ง............ นวลฉวีโทรศัพท์ถึงนายธวัชบอกว่า เมื่อคืน ตอนที่หมออธิปส่งที่โรงพยาบาลยาสูบ เราทะเลาะกัน รายละเอียดจะคุยให้ฟังตอนเย็น ถ้าเลิกงานแล้วให้ไปพบที่โรงพยาบาลยาสูบ

เย็นวันนั้น นายธวัชมัวไปทำธุระที่อื่น ก่อนจะไปโรงพยาบาลยาสูบเป็นที่ต่อไป จวนเวลา 1 ทุ่ม แต่ไม่พบนวลฉวี ยามยาสูบเห็นเธอแต่งตัวออกไปข้างนอกนานแล้ว.....



นวลฉวี จากไป และไม่กลับมาอีกเลย



พบศพ

เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น.

นายจำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านที่คล้องอ้อมไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบกับ ศพ!

ศพนี้ลอยแม่น้ำมาอย่างเวทนา ในแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากตัวนนทบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ระหว่างโรงงานกระดาษเก่ากับวัดเฉลิมพระเกียรติ นายท้ายเรือเข้าไปดูศพสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่มกระโปรงดำเป็นลายปักศพอยู่ในลักษณะหงายมือพาดหน้าอก คาดเข็มขัดโตสีฟ้า ที่ข้อมือและแหวนทองลงยาจารึกนามสกุล "รามเดชะ"(สกุลเดิมของหมออธิป)

เมื่อเรือแล่นมาถึงจังหวัดนนทบุรี นายจำลองแจ้งความติดต่อตำรวจนนทบุรีทันที

ศพถูกส่งไปวัดนครอินทร์ กิ่ง ต่อด้วยโรงพยาบาลตำรวจนนทบุรี เพื่อการชันสูตรศพ เป็นการด่วน

ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมากและสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งหมดสีข้างข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม 3 แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด

"ท่ามกลางความมืดของคืนวันหนึ่งในเดือนกันยายน 2502 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ลงมือสังหาร นวลฉวี นางพยาบาลสาวถึงแก่ชีวิตตามที่ได้รับว่าจ้าง ..."



วันที่ 13 กันยายน 2502 22.00 น. ศพที่พบลำน้ำเจ้าพระยาถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ตายชื่อนวลฉวี (สืบจากชื่อที่สลักของแหวน) หมออธิปทราบข่าวการตายของนวลฉวี และเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าว หมอตอบสั้นๆ ว่า "เธอเป็นภรรยาผมก็จริง แต่เราไม่อยู่ด้วยกันครับ แยกกันอยู่ พรุ่งนี้ค่อยไปรับศพครับ เพราะมันดึกแล้ว แหะๆ"

คดีนี้เดาผู้ต้องสงสัยไม่ยาก เพราะนวลฉวีไม่มีศัตรูภายนอกที่ไหน ยกเว้นภายใน และมากที่สุด เห็นจะไม่เกินสามีที่อยากกำจัดภรรยาจอมยุ่งให้ไปพ้นๆ ทาง

หมออธิป

14 กันยายน 2502 ตำรวจเชิญตัวหมออธิปไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ตำรวจไม่รอช้าถ่ายบาดแผนนี้เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหมา "หมอฆ่าเมีย" ทันที

ในกลางดึกของกลางเดือนกันยายน ภายหลังจากหมออธิปถูกจับ ขบวนรถตำรวจรับหมอและคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยหมออธิปนั่งมา เพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง

"จอมพลสฤษดิ์อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ ฮะๆ คิดดูให้ดีนะครับหมอ"

หมออธิปหน้าซีด เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็นนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วยอธิบดีกรมตำรวจ มีนิสัยชอบสั่งยิงเป็นคนเป็นว่าเล่นเหมือนผักเหมือนปลา ตอนตำรงตำแหน่งนายกก็สั่งยิงเป้า ถึง 6 คน

ภายในห้องทำงานบุรุษร่างใหญ่ผิวคล้ำ ท่าทางเด็ดขาดน่าเกรงขามนั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว หมออธิปเย็นวาบถึงไขสันหลัง สักครู่ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติไม่ร่ำทำเพลงพูดด้วยเสียงเด็ดขาด

"หมอฆ่าเมียตัวเองอย่างที่เป็นข่าวจริงไหม ถ้าจริงจงรับมาเสียอย่าปากแข็ง พูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา"

"ผมไม่ได้ทำครับ ผมขอปฏิเสธ" หมออธิปรวบรวมกำลังใจพูด

"มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ มันเหมือนกับตัวเองไปหาพยายมเพื่อตัดสินความผิดอย่างงั้นแหละ" หมออธิปย้อยความหลัง

ทางด้านตำรวจยศสูงต่างๆ ในสถานีตำรวจนนทบุรีได้ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ และทราบว่าหมออธิปมีเพื่อนสนิทคือนายชูยศและนางสุขสมพ่อของเขาเคยเป็นคนไข้ของหมออธิปมาก่อน และรักษาพ่อจนหาย ทำให้ชูยศซึ้งในน้ำใจของหมออธิป ถึงขนาดยอมตายแทนหมอเลยแหละ

17 กันยายน 2502 หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักต่างลงข่าวว่า นายชูยศ มีส่วนเกี่ยวข้องคดีฆ่านวลฉวี

ผลจากการชันสูตรนวลฉวี มีการเพิ่มเติมคือ ตอนที่เธอถูกแทงนั้น เธอไม่ได้สวมผ้านอกและจากการตรวจสอบบนสะพานพบรอยหยดเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แสดงถึงการเอาศพมาถึงที่จุดนั้น

หลักฐานการสืบสวนคดีฆ่านวลฉวีเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ตำรวจพบกระดุมสีน้ำตาลแก่ตก 1 เม็ดบนพื้นถนนริมทางหลวง รอยเลือดจากราวสะพานเหล็กที่เป็นคราบสีน้ำตาล ฯลฯ

20 กันยายน 2502 ตำรวจบุกไปบานของนายชูยศในสวนบางบำหรุ ธนบุรี แต่ไม่มีคนอยู่ ประตูใส่กุญแจไว้ จากการตรวจสอบบ้านได้พบรอยเลือดที่พื้นบันได้หลังบ้าน ตำรวจจึงเก็บหลักฐานเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบเลือดที่พื้นห้องครัวเรือนบนเตียงและที่พื้นบันได ทั้งพบหลอดยาเอทิลคลอไรด์ พร้อมมีดปลายแหลมในห้องครัว

27 กันยายน 2502 นายชูยศพร้อมภรรยาเข้ามอบตัวกับตำรวจ มีการสอบสวนนิดๆ หน่อยๆ ก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา

14 ตุลาคม 2502 เจ้าหน้าที่คุมนายชูเกียรและภรรยาไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์(อีกแล้ว) เพราะคดีฆ่านวลฉวีดังมากในยุคนั้น และตัวจอมพลก็สนใจ แต่กระนั้นนายชูยศไม่ได้เข้าพบจอมพล มีเพียงแต่ภรรยาชูยศเท่านั้นที่พบ

นายกรัฐมนตรีถามนางสุขมภรรยาของนายชูยศ "มีความสัมพันธ์กับหมออธิปอย่างไร"

นางสุขุมคิดว่านายกถามเรื่องเงินทองๆ เลยตอบว่า "มี"

และแล้วรุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าว "นางสุขสมยอมรับจอมพลว่าเสียตัวให้หมออธิป!!" (ข่าวกรองมากๆๆ)

28 ตุลาคม 2502 นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อและช่างไม้ที่มีบ้านติดๆ กับนายชูยศมาก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวที่วัดน้อยนางหงส์ ฐานสงสัยว่าเป็นคนฆ่านวลฉวีฆ่ามือ

30 ตุลาคม 2502 คำให้การพยานมากน่าหลายตา ทั้งเพื่อนของนวลฉวี ยามยาสูบ ให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจเชื่อว่าหมออธิปต้องเป็นฆ่านวลฉวีแน่นอน

และไม่นานนัก ตำรวจก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยฆ่านวลฉวีได้ยกแก๊งประกอบด้วย

นายชูยศและนางสุขสม ตัวกลางประสานแผนการ

นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหล่อมือสังหาร เคยมีประวัติหนีคดีที่อื่นมาก่อน มีอาชีพเป็นสัปเหร่อและช่างไม้อาศัยอยู่บ้านแม่ยายติดๆ กับนายชูยศ

นายชูเกียรติ ผู้ช่วยฆ่า

นอกจากนี้มีผู้ต้องสงสัยอีกคือ นายยง ยิ้มกมล และนายเยี่ยม แต่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน

\ ทั้งหมดให้การรับสารภาพในเวลาต่อมา....

น่าแปลกที่ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดก่อนถูกจับไม่มีท่าทีคิดจะหนีสักนิด.....(พวกนั้นแก้ตัวว่าหลังทราบข่าว ทั้งแก๊งก็กลัวขี้หดตดหายไปแล้ว ส่วนผู้ว่าจ้างหมออธิปก็เงียบไม่มาช่วยวางแผนว่าเอาไงดีเลย ฮื้อๆๆ)



แต่กระนั้นช่วงเวลาการสังหารโหดนวลฉวี ตำรวจไม่เห็นภาพมากนัก ฆาตกรไม่ใช้มีคนเดียว มันทำเป็นหมู่คณะ ภายใต้การนำของหมออธิป ตำรวจเชื่ออย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นภาพวินาทีสังหารชัดเจนมากนัก แต่จากประมวลคำของพยานและหลักฐานวัตถุการสังหารนวลฉวีมีการวางแผนเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ เรียบเรียงได้ดังนี้..............

เริ่มจากหมออธิปคิดฆ่านวลฉวีภรรยาของตนเอง หมอคิดจะทำไงดี พอดีคิดได้ว่าตนมีเพื่อนสนิทแม้มันจะเลวสักหน่อยแต่ใช้ได้ หมออธิปเลยบึงรถไปที่บ้านของนายชูยศเพื่อนสนิทเพื่อต่อรองราคา....

"อั๊วจะฆ่าเมียอั๊วว่ะ เงินค่าจ้างมีเยอะ รวยซะอย่าง"

นายชูยศตกลงทันที เงินจำนวนมากสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยง

ปีศาจในตัวหมอเริ่มแสดงบทบาทแล้ว!!

เดือนสิงหาคม เวลา 11.00 น.นายชูยศและนางสุขสม ไปที่สวนบ้านนายยง ยิ้มกมล ถามว่าแถวนี้มีใครมือดีบ้างที่สามารถฆ่าผู้หญิงโดยไม่มีหลักฐานนะ นายยงบอกว่ามีสัปเหล่อคนหนึ่งเห็นแกบอกว่าเคยฆ่าคนมาก่อน ว่าแล้วนายชูยศสนใจ จึงให้ภรรยาทำการว่าจ้าง นายยง ยิ้มกมล โดยจ้างนายยงเป็นเงิน 10,000 บาท ให้พานายคนนั้นมาหา โดยได้รับเงินค่าจ้าง 5,000 บาท ครึ่งหนึ่งไปก่อน

วันรุ่งขึ้น นายยงพาตัวนายมงคลมาหานายชูยศ นายชูยศบอกว่าให้ไปฆ่าผู้หญิงคนหนึ่ง และจะได้เงินว่าจ้างหมื่นกว่าบาท โดยให้เงินล่วงห้าห้าพันบาทก่อน

นายมงคล ตอบตกลงไม่มีลังเล

วันรุ่งขึ้น ทั้งหมดพบหมออธิปผู้ว่าจ้างตัวจริง นายชูยศแนะนำหมอให้ผู้รับจ้างทราบกันโดยทั่วกัน จากนั้นหมออธิปก็ให้เงินนายยง ล่วงหน้า 5000 บาท เป็นเงินมัดจำฆ่าคน จากนั้นหมออธิปก็วางแผนตกลงกันว่าจะพานวลฉวีภรรยาของหมอมาฆ่าโรงครัวบ้านหลังนี้ ส่วนเครื่องไม้เครื่องมือหมออธิปจะเตรียมไว้อีก ขอให้มาตามเวลากำหนด เข้าใจ๋!!

จากนั้นก็ถึงเวลาลงมือสังหาร วันที่ 10 กันยายน 2502

ตอนเช้าหมออธิปโทรศัพท์นัดนางนวลฉวีและรับนางนวลฉวีจากโรงพยาบาลยาสูบ โดยพาไปที่บ้านสร้างใหม่นายชูยศที่สวนบางบำหรุ

เวลาบ่ายโมงเศษ นายยง ไปที่บ้านนายชูยศ สมทบกับนายชูเกียรติ เพื่อดูสถานที่ทำการฆ่า เตรียมมีดปลายแหลม ผ้าพลาสติก และสายไฟคู่สีเหลือง 1 ขด และไม้ไผ่เพื่อหามศพ เตรียมเสร็จแล้วนายยงก็กลับบ้านนอนเอาแรง

5 โมงเย็น นายยง นายชูเกียรติ และ นายชูยศ พากันมาซุ่มที่ห้องน้ำรอดูหมออธิปพาผู้หญิงมาฆ่า

เวลา 18.00 น. เศษ หมออธิปนำนวลฉวีมาทางหน้าบ้านของนายชูยศ แล้วพาเข้าห้องครัว ปิดประตูลงกลอน หมออธิปรอจังหวะที่นวลฉวีเผลอโป๊ะยาสลบจนเธอนอนหลับ

หมออธิปหัวเราะฮิ ฮิ ชะโงกหน้าต่างเรียกลูกสมุน ก่อนออกจากห้อง ปล่อยลูกสมุนมาจัดการ

จากนั้นก็ถึงเวลาสังหาร!!

นายยงข่มขื่นนวลฉวี 1 ครั้ง นวลฉวีไม่รู้สึกตัวเพราะโดนยาสลบ

นายมงคลจับแขนซ้ายหญิงนั้นลงคร่งตะแคงทางขวา

จากนั้นนายมงคลได้หยิบมีดปลายแหลมทำการแทงนวลฉวีไป 3 ครั้ง นวลฉวีร้อง อึๆ นายมงคลแทงจนรู้ว่าเธอไม่น่ารอดแล้ว จึงบอกนายเยี่ยมน้องชายมาช่วย(ถูกกันไว้เป็นพยาน) "เมื่อข้าข่มขื่นเธอเสร็จแล้ว ข้าย้ายผู้หญิงลงครึ่งคว่ำตะแคงทางขวาของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นข้าก็เอามีดสีขาวปลายแหลมที่พื้นกระดานปลายเตียงแล้วแทงผู้หญิงคนนั้นทางหลังไป 3 ที ไม่รู้ที่จุดตรงไหน ผู้หญิงคนนั้นร้อง ฮึๆ อือๆ สองสามครั้ง จากนั้นข้าก็ตามนายเยี่ยมมาช่วยหามศพ"นายมงคลบอกต่อศาล

จากนั้นทั้งสองคนช่วยกันเอาเสื้อชั้นนอกที่หัวเตียงสวมให้ศพ แล้วยกศพวางบนผ้าพลาสติกซึ่งปูไว้แล้ว นายมงคลเอาสายไฟมัดที่ข้อเท้าศพ มัดบั้นเอว และมัดที่หัวไหล่ จากนั้นก็ใช้ไม้ไผ่สอดใต้สายไฟที่มัดไว้แล้วหามศพออกจากบันไดหลังบ้าน โดยมีเลือดหยดตามพื้นเป็นรายทาง นายยงและนายเยี่ยมหามศพ ส่วนนายมงคลทำความสะอาดจุดสังหาร.....

ศพของนวลฉวีถูกขนย้ายผ่านสวนพจน์ที่อยู่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ นายมงคลตามมา ทั้งสามข้ามคูถนนจรัลสนิทวงศ์ ลุยคูน้ำที่มีน้ำลึก 50 ซม. ไปหานายมงคลตรงหลักกิโลเมตรที่เดิม จากนั้นก็วางศพไว้ข้างถนน หมออธิปเปิดประตูรถ จ้างเงินค่าจ้างที่ค้างไว้ให้ทั่วหน้าทุกคน จากนั้นก็ช่วยกันเอาศพขึ้นรถ บรรทุกโฟล์คสวาเก้น กข.ข.0253 มุ่งหน้าไปทางสะพานพระราม 6

สำหรับไม้ไผ่หามศพ นายเยี่ยมเป็นคนนำไปทิ้ง แต่ทิ้งที่ไหนไม่มีใครทราบ

แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่แก๊งทิ้งศพนวลฉวี มีรถคนหนึ่งผ่านมาเกิดสงสัยว่าทำไมรถถึงจอด รถเสียเหรอ เลยหยุดจอดถาม แค่ได้เสียงกระชากๆ ว่า "เปล่า" แทน

2 ทุ่ม ศพของนวลฉวีถูกทิ้งจากสะพานนนทบุรีลงแม่น้ำเจ้าพระยา ชาวบ้านแถวๆ นั้นได้ยินเสียงตูม! กันไปทั่ว

บ้ายบาย นวลฉวี...............



แต่อุตสาห์วางแผนอย่างดิบดี ดันมาพลาดเพราะแหวนวงเดียว โอยวันหลังหัดปลดเครื่องประดับบ้างสิโว๊ย!!



ขุนสุญาณเศรษฐกร บิดาหมออธิป เห็นท่าคดีนี้หมออธิปจะแพ้ จึงจ้างนายชมพู อรรถจินดา ทนายความที่มีชื่อเสียงด้วยจำนวยสูงลิบลิ่ว หมออธิปเริ่มมั่นใจว่ามีทนายฝีมือดีตนต้องชนะคดีแน่นอน

การพิจารณาศาลเป็นไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่านเพราะมันเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ไทยต้องจารึก ใครแพ้มีหวังล่มจม....ส่วนประชาทั้งประเทศต่างจับจ่อคดีนี้แบบไม่กระพริบตา อยากรู้ว่าผลความยุติธรรมจะทำให้นักโทษทั้งหมดโดนประหารหรือไม่

"ถ้าผมจะฆ่าภรรยาผม ทำไมผมต้องจ้างคนอื่นให้เสียเวลาทำมาหากินด้วยละ สู้เอามือบีบคอภรรยาให้ตายคามือดีกว่ามั้ง" หมออธิปแก้ตัวต่อศาล



วันที่ 12 ธันวาคม 2503 ณ ศาลอาญา บังลังก์ที่สอง คือวันพิพากษาหมออธิปและพรรคพวก...



ผู้พิพากษาทั้งสี่ประกอบด้วย นายเฉลิม กรพุกกะณะ นายพินิจ เพชรชาติ นายสว่าง เวทย์ และนายวุฒิกรรม วงษ์ศิริ ออกมานั่งบัลลังก์ตัดสินคดีประวัติศาสตร์อาชญากรรมท่ามกลางประชาชนนับหมื่นที่แห่มาฟังคำพิพากษาอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนถึงขนาดต่อลำโพงโดยรอบสนามหญ้าบริเวณศาลทหารอาญา เก้าอี้หลายตัวในศาลหักเพราะทานแรงคลื่นมนุษย์ไม่ไหว

จนกระทั้ง นาทีระทึกขวัญมาถึง ทุกคนพากันสงบนิ่ง รอฟังผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินช่วงสุดท้าย

"นายอธิปจำเลยที่ 1 มีความผิดตามที่กล่าวหา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 อนุมาตรา 4) 83 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และฐานก่อให้คนอื่นกระทำความผิดให้ต้องโทษประหารชีวิตนายอธิปจำเลยที่ 1

ส่วนนายมงคล จำเลยที่ 5 มีความผิดฆ่าคนโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 และ 83 ให้ระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต และริบมีดสั้นปลายแหลมที่ใช้กระทำผิดเสีย(ใครจะไปเอา)

ส่วนนายชูยศ และนางสุขสม จำเลยที่ 2 และ 3 และนายชุเกียรติ จำเลยที่ 4 ศาลไม่มีหลักฐานเอาผิดเลยให้ปล่อยตัวพ้นผิดไป"

สิ้นคำพิพากษา หมออธิปตกตะลึง เพราะตัวเองมั่นใจเต็มที่เพราะมีทนายมือหนึ่งของไทยว่าความ "ทำไมคนอื่นรอด แต่ตูตายฟ่ะ!!"

แต่กระนั้น ภายหลังต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชการปัจจุบัน และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสร็จกลับจากประเทศนิวัตพระนคร ถือว่าเป็นวันมงคล หมออธิปได้รับอนิสงค์ได้รับการอภัยโทษ ประกอบกับพ่อแม่วิ่งเต้นทำให้หมออธิปถูกจำคุกเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น

เหลือเชื่อ........???

แต่อย่างไรก็ตาม หลังหมออธิปพ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก และจนถึงวาระสุดท้าย....หมออธิปนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท หมออธิปเอยปากก่อนตายเรื่องนวลฉวี

"นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ................" พูดจบหมออธิปก็สิ้นลมตายคาเตียงไปเลย



หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างเรียกสะพานสะพานนนทบุรีสถานที่ทิ้งศพนวลฉวีนี้ว่า

" สะพาน นวลฉวี "



และหลังจากนั้น(อีก) บ้านที่นวลฉวีถูกฆ่าในสวนบางบำหรุก็ถูกเล่าลือว่าเห็นผีผู้หญิงอยู่บ้านหลังนั้น ทุกคนต่างเรียกหลังนั้นว่า

"บ้านผีสิง"



บันทึกรักนวลฉวีหนี้ลิขิต เมื่อมีจิตริษยาน่าสงสาร

นวลฉวีคือรักหมอพยาบาล เปิดตำนานฆาตกรรมซ้ำรอยมา

อุทาหรณ์ความรักนวลฉวี คือการพลีร่างให้ชายได้หวนหา

แต่ความรักของชายมักโรยรา ยามเมื่อคราสุขสมอารมณ์ปอง

ผู้ใหญ่สอนวอนว่าน่าคิดนัก อันความรักนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง

แต่สมควรดำเนินความตามครรลอง ท่วงทำนองประเพณีที่ดีงาม

ที่สำคัญยามรักร้างและลาจาก ต้องยอมรักความพลัดพรากอีกขวากหนาม

อย่าขึงเคียดโกรธแค้นพยายาม เที่ยวติดตามกระชากรักกลับคืนมา

ชีวิตจึงจบลงด้วยความเศร้า ยามรักร้าวชีวิตเปลี่ยนแปรผัน

นวลฉวีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฆาตกรรมลือลั่นสนั่นเมือง

หญิงชายจงจำไว้เป็นเยี่ยง แต่อย่าเพลี่ยงพล้ำดำเนินเรื่อง

ความรักมิใช่มีให้ขุ่นเคือง อย่าสร้างเรื่องฆาตกรรมอันเกรียงไกร