28 กุมภาพันธ์ 2553

กำหนดสอบ TU 53






กรุณาลิงค์กันๆๆๆด้วยนะเพื่อนๆๆ













ร่วมไว้อาลัยกับ7ทหารกล้าผู้ที่เสียสละชีวิต

พระราชทานเพลิงศพ7ทหารกล้า





พล.อ.ไพศาล กตัญญู รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพทหารพร้อมกัน 7 นาย จากกองร้อย ร.2514 ร.25 พัน .3 ค่ายวิภาวดีรังสิต จังหวัดทหารบกสุราษฎร์ธานี ชุดคุ้มครองครูที่เสียชีวิตจากการลอบวางระเบิดของผู้ก่อความไม่สงบที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา วันที่ 24 มิ.ย.

อ่านข่าวแล้วก็ได้แต่สลดใจ ความรู้สึกบอกไม่ถูกว่าทำไม เราจะต้องสูญเสียพวกเขาไป คนแล้วคนเล่า เมื่อไหร่ความสงบสุขถึงจะกลับคืนมาเช่นดังเดิม สงสารก็แต่ครอบครัวผู้ที่สูญเสีย ต้องขาดเสาเรือนไป แล้วลูกๆเขาอีกจะเป็นเช่นไร ที่ต้องขาดพ่อ วันนี้เป็นวันที่เศร้าใจจริงๆเลย

ขอให้เพื่อนๆร่วมกันไว้อาลัยกับการจากไปของเหล่าทหารกล้าด้วยค่ะผู้ที่เสียสละชีวิตเพื่อพวกเรา

10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก


""10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก.....""






1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"

ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน






2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง

10โรคประหลาด ที่ไม่น่าเป็นที่สุดในโลก

โลกเรายังมีโรคแปลกๆ ที่ยังรักษาไม่หายอยู่เป็นจำนวนมาก แม้แต่แพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่ง 10 โรคต่อไปนี้เราอาจจะเคยได้ยิน หรือเห็นคนเป็นโรคมาบ้าง แต่บางโรคก็ไม่เคยได้ยินเลย และเพิ่งจะรู้ว่ามีโรคนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ

1 .โรคค็อดทาร์ดหรือโรคศพเดิน (Walking Corpse Syndrome)เป็นหนึ่งในโรคทางจิต ตั้งชื่อตามนายแพทย์จูลส์ ค็อดทาร์ด แพทย์ด้านสมองชาวฝรั่งเศส ที่พบว่าผู้ป่วยคนหนึ่งของเขาเป็นโรคนี้ นายแพทย์ค็อดทาร์ดกล่าวถึงผู้ป่วยที่เขารักษาว่า "เธอไม่เชื่อว่าเธอมีอวัยวะ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นต้องกินอาหาร"

ผู้ป่วยมีความเชื่อว่าสูญเสียอวัยวะสำคัญ แม้กระทั่งสูญเสียวิญญาณ ผู้ที่เป็นมากๆ จะเชื่อว่าตนตายไปแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าจากเนื้อของตัวเอง รู้สึกว่าเหมือนหนอนกำลังกัดกินเนื้อ บางคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีกระเพาะ จึงไม่กินอาหาร เป็นไปได้ว่าผู้ที่เป็นโรคเสพยาบ้า โคเคน มากเกินไป และอาจเกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท โรคอารมณ์แปรปรวน

2.โรคแวมไพร์ซินโดรม ได้ชื่อว่าแวมไพร์ต้องนึกถึงผีค้างคาวดูดเลือด ที่ออกอาละวาดในยามราตรี แต่กลัวแสงสว่างเป็นที่สุด ผู้ป่วยโรคนี้ก็เช่นกัน คือกลัวแสงสว่าง เพราะเมื่อถูกแสงแดดแล้วจะเจ็บปวดอย่างมหาศาล ผิวแห้งแตกเป็นขุย มีรอยไหม้

3. โรคจัมพิ่ง เฟรนช์แมน ออฟ เมน (Jumping Frenchman of Maine Disorder) เป็นโรคที่นายแพทย์จอร์จ มิลเลอร์ เบียร์ด อธิบายไว้เป็นคนแรก เมื่อค.ศ.1878 คาดว่าผู้ป่วยที่เขาพบนั้นเป็นชายชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ผู้ป่วยจะเกิดอาการเมื่อถูกกระตุ้น เช่น ถ้าตะโกนดังๆ ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งผู้ป่วยก็จะทำตามนั้น เช่น มีผู้ตะโกนว่า "ตบหน้าเมีย" ก็จะกระโดดเข้าไปตบหน้าภรรยาของตนเองทันที หรือถ้าได้ยินประโยคแปลกๆ ประโยคที่เป็นภาษาต่างประเทศ ก็จะพูดประโยคนั้นๆ ซ้ำไปซ้ำมาอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

4.โรคเส้นบลาชโค (Blaschko"s lines) ผู้เป็นโรคจะลายริ้วๆ ไปทั้งตัว นับเป็นโรคหายากอีกโรคหนึ่ง ไม่สามารถอธิบายได้ตามหลักกายวิภาค ผู้ที่กล่าวถึงโรคนี้เป็นครั้งแรกคือนายแพทย์อัลเฟรด บลาชโค แพทย์ด้านผิวหนังชาวเยอรมัน ที่กล่าวถึงอาการของผู้เป็นโรคเมื่อค.ศ.1901 บริเวณกระดูกสันหลังจะเป็นเส้นรูปตัว V บริเวณหน้าอก ท้อง และข้างลำตัวจะเป็นเส้นรูปตัว S

5.โรคพิคา หรือโรคที่กินวัตถุที่ไม่สามารถบริโภคได้ ผู้ที่เป็นโรคจะมีความอยากกินวัตถุที่ไม่ใช่อาหารมาก เช่น ดิน กระดาษ กาว โคลน ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่มีวิธีรักษา แต่เป็นไปได้ว่าร่างกายขาดแร่ธาตุบางอย่าง






6.โรคอลิซในแดนมหัศจรรย์ หรือ "ไมครอพเซีย" เกิดจากความผิดปกติของสมอง ที่แปรสัญญาณไปยังสายตาผู้ป่วยให้มองทุกอย่างเล็กจากความเป็นจริง ทั้งที่สายตาของผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติใดๆ เช่น มองสุนัขที่เลี้ยงไว้ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่าหนู รถยนต์คันใหญ่ ก็จะเห็นว่ามีขนาดเท่ากับรถเด็กเล่น

7.โรคบลูสกิน หรือ "โรคผิวสีน้ำเงิน" ผู้เป็นโรคจะมีร่างกายเป็นสีน้ำเงิน ที่สหรัฐเมื่อประมาณร้อยกว่าปีที่แล้ว ครอบครัวของนายมาร์ติน ฟูเกต เด็กกำพร้าชาวฝรั่งเศส และเข้ามาตั้งรกรากอยู่บริเวณลำธารทร็อบเบิ้ลซัมครีก รัฐเคนตั๊กกี้ เมื่อค.ศ.1820 เป็นโรคนี้กันอย่างถ้วนหน้า เริ่มจากที่นายฟูเกตเองที่เป็นโรคอยู่แล้ว เมื่อเขาสมรสกับหญิงปกติ ลูก 4 ใน 7 คนเป็นโรคสีน้ำเงินเหมือนพ่อ ลูกหลานที่มาจากเชื้อสายนี้อีก 6 ชั่วคนยังเป็นโรคนี้ด้วย โดยหนูน้อยเบนจามิน สเตซี่ ที่มีเชื้อสายฟูเกต เป็นคนในตระกูลล่าสุดที่เป็นโรค โชคดีที่เด็กชายไม่เป็นมาก เพียงไม่นานหลังจากเกิดก็หาย ปัจจุบันเด็กชายอายุ 8 ขวบ

8.โรคเวอร์วูล์ฟซินโดรม ผู้ป่วยจะมีขนยาวรุงรังตามหน้าตา แขนขา ทุกส่วนของร่างกาย คาดว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคประมาณ 50 คนจากทั่วโลก เช่น เด็กชายปรัชวิราช พาทิล ชาวอินเดีย ที่ต้องเจ็บปวดจากการล้อเลียนของเพื่อนๆ และสังคม ซึ่งครอบครัวพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ทั้งใช้เลเซอร์แบบแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงการรักษาแบบทางเลือก อายุรเวช

9.โรคมือเท้าช้างหรือ "เอเลแฟนต์เทียซิส" เป็นโรคที่พบเห็นกันค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนที่มียุง เนื่องจากยุงเป็นพาหะของโรค โดยจะแพร่หนอนปรสิตวูชีเรเรียแบนครอฟตี หนอนปรสิตบรูเจียมาลายี หนอนปรสิตบี.ทิโมลี มายังคน ทำให้ไข่ของหนอนปรสิตเข้ามาในกระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย มันอาจใช้เวลาฟักตัวนานหลายปี

ที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนระบุว่า โรคมือเท้าช้างเป็นโรคที่เกิดจากหนอนพยาธิตัวกลมฟิลาเรีย มีลักษณะคล้ายเส้นด้ายอาศัยอยู่ในระบบน้ำเหลืองของคน โดยมียุงเป็นพาหะนำโรค อาการที่เห็นได้ชัดคือ ขา แขน หรืออวัยวะเพศบวมโตผิดปกติ เนื่องจากภาวะอุดตันของท่อน้ำเหลือง

โรคเท้าช้างในประเทศไทยมี 2 ชนิด ชนิดแรกเกิดจากเชื้อบรูเจียมาลายี มักมีอาการแขนขาโต พบมากในบริเวณที่ราบทางฝั่งตะวันออกของภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนถึงนราธิวาส โดยมี "ยุงลายเสือ" เป็นพาหะ ยุงชนิดนี้กัดกินเลือดของสัตว์และคน ชอบออกหากินเวลากลางคืน มีแหล่งเพาะพันธุ์ตามแอ่งหรือหนองน้ำที่มีวัชพืชและพืชน้ำต่างๆ เช่น จอก ผักตบชวา แพงพวยน้ำ หรือหญ้าปล้อง

ชนิดที่สองเกิดจากเชื้อวูชีเรเรียแบนครอฟตี มักทำให้เกิดอาการบวมโตของอวัยวะสืบพันธุ์และแขนขา พบมากในบริเวณภาคตะวันตกของประเทศไทย เช่น ที่อำเภอสังขละบุรี อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก อำเภอละอุ่น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง เป็นต้น ยุงพาหะนำโรคเท้าช้างชนิดนี้ได้แก่ "ยุงลายป่า" เพาะพันธุ์ตามป่าไผ่ ในโพรงไม้ และกระบอกไม้ไผ่ ปัจจุบันพบว่าเชื้อโรคเท้าช้างชนิดวูชีเรเรียแบนครอฟตี สายพันธุ์ที่นำเข้าโดยผู้อพยพจากชายแดนไทย-พม่า มียุงพาหะหลายชนิดรวมทั้งยุงรำคาญ ซึ่งเป็นยุงบ้านที่พบได้ทั่วไป

คนที่มีอาการมักจะเกิดจากการที่ถูกยุงที่มีเชื้อพยาธิเท้าช้างกัดซ้ำหลายครั้ง อาการในระยะแรก ผู้ป่วยอาจมีไข้ ซึ่งเกิดจากการอักเสบของต่อมและท่อน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ขาหนีบ หรืออัณฑะ เนื่องจากพยาธิตัวแก่ที่อยู่ในท่อน้ำเหลืองสร้างความระคายเคืองแก่เนื้อเยื่อภายใน รวมทั้งมีการปล่อยสารพิษออกมาด้วย อาการอักเสบจะเป็นๆ หายๆ อยู่เช่นนี้ และจะกระตุ้นให้เกิดอาการบวมขึ้น หากเป็นนานหลายปีจะทำให้อวัยวะนั้นบวมโตอย่างถาวรและผิวหนังหนาแข็งขึ้นจนมีลักษณะขรุขระ

10.โรคโพรจีเรีย หรือ "โรคแก่ก่อนวัยอันควร" เป็นโรคที่เกิดจากรหัสทางพันธุกรรมตัวหนึ่งบกพร่อง ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างหน้าตาแก่กว่าอายุจริงมาก ส่วนใหญ่แล้วเด็กจะอายุสั้น คือไม่เกิน 13 ปี มักเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย อาการของผู้เป็นโรคคือ หัวล้าน กระดูกบาง มีรูปร่างเตี้ยแคระ มักเจ็บปวดตามข้อ แต่เมื่อแรกเกิดแล้วจะดูเหมือนกับเด็กปกติ

27 กุมภาพันธ์ 2553

" นี่หรือประเทศไทย "





ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย






สถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา ซึ่งเกิดมาจากปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเหตุการณ์ลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิด ก่อการร้าย และจลาจล เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการแพร่ภาพเป็นข่าวไปทั่วโลก และมีการติดตามเหตุการณ์จากนานาชาติอย่างใกล้ชิด แต่ปัจจุบันเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าวก็เริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ จนบางช่วงเวลานั้นดูเหมือนว่าเหตุการณ์ไม่สงบในกรุงเทพมหานครนั้น จะรุนแรงกว่าทางภาคใต้เสียด้วยซ้ำไป

10คนที่เก่งที่สุดในโลก +++


1. Kim Ung-Yong: เข้ามหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 4 ขวบ จบปริญญาเอกตอนอายุ 15 และมี IQ สูงที่สุดในโลก

Kim Ung-Yong เกิดในปี 1962 และอาจจะถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ โดย Guinness Book of World Records ได้บันทึกว่าเขามี IQ สูงที่สุดในโลกคือสูงกว่า 210

คิมอ่านภาษาญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ได้ตั้งแต่ 4 ขวบ ตอนวันเกิดครบ 5 ขวบ เขาก็สามารถแก้โจทย์แคลคิวลัส (differential and integral calculus) ที่ซับซ้อนได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ไปออกรายการทีวีญี่ปุ่นแสดงสามารถทางภาษาจีน สเปน เวียดนาม ตากาลอก เยอรมัน อังกฤษ ญี่ปุ่น และเกาหลี

คิม เป็นนักเรียนรับเชิญในชั้นเรียนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Hanyang ตั้งแต่อายุ 3 – 6 ขวบ พออายุ 7 ขวบ NASA ได้เชิญเขาไปอเมริกาและเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Colorado ในปี 1974 จนได้ Ph.D ด้านฟิสิกส์ ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะมีอายุครบ 15 เสียอีก ระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยเขาก็เริ่มทำงานวิจัยที่ NASA ด้วย และทำต่อมาตลอดจนกระทั่งเขากลับเกาหลีในปี 1978 และได้ตัดสินใจเปลี่ยนสาขาจากฟิสิกส์ไปเป็นวิศวกรรมโยธาและได้ศึกษาจนได้รับ ปริญญาเอกอีกเช่นกัน







2. Gregory Smith: ผู้ได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เมื่ออายุ เพียง 12 ปี

Gregory เกิดในปี 1990 อ่านหนังสือออกตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 10 ขวบ ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นยังไม่ได้ครึ่งของเรื่องราวของเด็กหนุ่มคนนี้ เมื่อเขาตัดสินใจออกเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรณรงค์เรื่องสันติภาพและสิทธิ เด็ก

Gregory Smith เป็นผู้ก่อตั้ง International Youth Advocates ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การสนับสนุนหลักการแห่งสันติภาพและความเข้าอกเข้าใจใน ระหว่างเยาวชนทั่วโลก เขาเคยได้พบกับผู้นำคนสำคัญอย่าง Bill Clinton และ Mikhail Gorbachev และยังเคยปฐกถาต่อหน้าที่ประชุม UN อีกด้วย

จากการทำงานด้านมนุษยธรรมนี้ ทำให้เขาได้ถูกเสนอชื่อให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพถึง 4 ครั้ง แต่ความสำเร็จครั้งล่าสุดที่เขาเพิ่งได้รับคือ…มีใบขับขี่เป็นของตัวเอง ได้ซะทีนั่นเอง












3. Akrit Jaswal : ศัลยแพทย์อายุ 7 ขวบ

Akrit Jaswal เป็นชาวอินเดีย และได้รับการขนานนามว่า “เด็กผู้ชายที่ฉลาดที่สุดในโลก” เพราะมี IQ ถึง 146 และได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในเด็กที่อายุเท่า ๆ กันในอินเดีย ประเทศที่มีประชากรนับพันล้านคน

Akrit กลายเป็นจุดสนใจของสาธารณะในปี 2000 เมื่อเขาได้ทำการรักษาคนไข้คนแรกที่บ้านของเขาเองเมื่อมีอายุเพียง 7 ขวบ คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ มีฐานะยากจนไม่มีเงินพอที่จะไปหาหมอได้ มือของเธอถูกไฟลวกทำให้นิ้วมือกำแน่นติดกัน Akrit ในตอนนั้นยังไม่ได้เรียนแพทย์อย่างเป็นทางการและยังไม่มีประสบการณ์ในการผ่า ตัดใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็สามารถทำให้นิ้วมือของเด็กหญิงคลายออกมาได้และใช้มือได้เป็นปกติอีก ครั้ง ขณะนี้ Akrit กำลังเรียนปริญญาตรีวิทยาศาสตร์อยู่ที่ วิทยาลัย Chandigarh และเป็นนักศึกษาที่อายุน้อยที่สุดที่มหาวิทยาลัยอินเดียเคยรับเข้าเรียน






4. Cleopatra Stratan : นักร้องเด็กอายุเพียง 3 ขวบ มีรายได้ 1,000 ยูโรต่อเพลง (47,000-48,000 บาท)

Clepotra เกิดเมื่อ 6 ตุลาคม 2002 ที่เมืองคีชีเนา ประเทศมอลโดวา เป็นลูกสาวของนักร้องเชื้อสายมอลโดวา-โรมาเนีย เธอเป็นนักร้องอายุน้อยที่สุดที่ประสบความสำเร็จด้วยอัลบั้มในปี 2006 ของเธอที่ชื่อว่า”At the age of 3″ และยังเป็นเจ้าของสถิติศิลปินอายุน้อยที่สุดที่เปิดการแสดงสดตลอด 2 ชั่วโมงต่อหน้าผู้ชมจำนวนมาก เป็นศิลปินเด็กที่ค่าตัวสูงสุด เป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่จะได้รับรางวัล MTV และเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่มีเพลงติดชาร์ตอันดับหนึ่งในประเทศโรมา เนีย





















5. Aelita Andre : หนูน้อยที่มีผลงานภาพออกแสดงในแกลลอรี่มีชื่อเสียง ด้วยวัยเพียง 2 ขวบ

ศิลปินแนว Abstract อายุเพียง 2 ขวบผู้นี้ได้กลายเป็นบุคคลที่ชาวออสเตรเลียกล่าวถึงเป็นอันมาก เมื่อผลงานของเธอได้ออกแสดงใน Brunswick Street Gallery ใน Melbourne’s Fitzroy

Mark Jamieson ผู้อำนวยการของแกลลอรี่ดังกล่าวได้เห็นภาพที่ Nikka Kalashnikova นักถ่ายภาพคนหนึ่งที่มีงานแสดงในแกลลอรีนำมาให้ดูและเขาก็ชอบจนตกลงใจที่จะ จัดการแสดงภาพเหล่านั้น จนเมื่อได้มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์งานในนิตยสารต่าง ๆ แล้ว เขาจึงได้ทราบว่าเจ้าของผลงาน คือลูกสาวของ Kalashnikova นั่นเอง และมีอายุเพียง 22 เดือน แม้ Jamieson รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่ก็ตัดสินใจที่จะแสดงผลงานของหนูน้อยต่อไป












6. Saul Aaron Kripke: Harvard( มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของโลก) เชิญให้ไปสมัครเป็นอาจารย์ขณะที่ยังเรียนไฮสคูล
Kripke เป็นลูกชายของพระแรบไบ เกิดที่นิวยอร์คและโตที่ Omaha รัฐ Nebraska เริ่มศึกษาพีชคณิตเมื่อตอนอยู่เกรด 4 และพอจบชั้นประถมก็เรียนรู้เรขาคณิตและแคลคิวลัสจนทะลุปรุโปร่ง และเริ่มหันไปให้ความสนใจกับปรัชญา

Kripke เขียนบทความหลายชิ้นทั้งในเรื่องของอรรถศาสตร์ (semantics) และตรรกวิทยาแบบ modal logic ในขณะที่มีอายุเพียง 16 ปี และหนึ่งในผลงานด้านตรรกวิทยานั้นทำให้เขาได้รับจดหมายเชิญจากภาควิชา คณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด เชิญชวนให้เขาไปสมัครเป็นอาจารย์ ซึ่งเขาก็ได้เขียนตอบปฎิเสธไปว่า “แม่ผมบอกว่าให้ผมเรียนให้จบไฮสคูลและมหาวิทยาลัยเสียก่อนดีกว่า” และเมื่อเขาเรียนจบไฮสคูลเขาก็เลือกเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ด

Kripke ได้รับรางวัล Shock Prize ซึ่งเป็นรางวัลทางด้านปรัชญาที่เทียบได้กับรางวัลโนเบล ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องว่า เป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่







7. Michael Kevin Kearney: รับปริญญาใบแรกเมื่ออายุ 10 ขวบและกลายเป็นเศรษฐีจากการเล่นเรียลลิตี้โชว์

หนุ่มวัย 24 ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยที่อายุน้อยที่สุดใน โลก และเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมื่ออายุเพียง 17

ในปี 2008 เขาชนะ้รางวัล 1 ล้านเหรียญสหรัฐจากการเล่นเกมโชว์ที่ชื่อว่า Who Wants to be a Millionaire? นอกจากนี้เขายังทำสถิติโลกไว้อีกหลายอย่าง

Kearney เริ่มพูดคำแรกเมื่ออายุ 4 เดือน เมื่ออายุได้ 6 เดือน เขาบอกกับกุมารแพทย์ของเขาว่า “ผมติดเชื้อที่หูซ้ายฮะ” อายุ 10 เดือนก็เริ่มเรียนเขียนอ่าน อายุ 4 ขวบได้เข้าร่วมการทดสอบทางคณิตศาสตร์ของสถาบัน Johns Hopkins และได้คะแนนเต็ม เรียนจบไฮสคูลเมื่ออายุ 6 ขวบ และเข้าเรียนที่ Santa Rosa Junior College จนจบปริญญาเมื่ออายุ 10 ขวบ

ในปี 2006 ชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วโลกเมื่อเขาเล่นเกมออนไลน์ Gold Rush จนชนะและได้รางวัล 1 ล้านเหรียญเป็นคนแรก











8. Fabiano Luigi Caruana: แกรนมาสเตอร์หมากรุกอายุน้อยที่สุด

Fabiano หนุ่มน้อยสองสัญชาติ (อเมริกัน-อิตาลี) ปัจจุบันอายุ 16 ปี เขาได้เป็นแกรนมาสเตอร์ตั้งแต่ปี 2007 ตอนนั้นเขามีอายุเพีย 14 ปี 11 เดือน 20 วัน ถือได้ว่าอายุน้อยที่สุดในประวัติศาตร์ของอิตาลีและอเมริกา และเมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาสมาพันธ์หมากรุกโลก (World Chess Federation (FIDE)) ได้ประกาศว่า Fabiano นั้นมีอันดับโลกอยู่ที่ 2649 ทำให้ เขากลายเป็นนักหมากรุกที่มีอันดับสูงสุดสำหรับรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี














9. Willie Mosconi: เริ่มชีวิตนักบิลเลียดอาชีพเมื่ออายุเพียง 6 ขวบ

William Joseph Mosconi หรือเจ้าของฉายา “Mr. Pocket Billiards” (pocket billiard = พูล) หนูน้อยจาก Philadelphia, Pennsylvania มีบิดาเป็นเจ้าของโต๊ะพูลแต่กลับไม่ยอมให้เขาเล่นพูล แต่ Willie ก็ไม่ยอมแพ้โดยเลี่ยงไปฝึกฝนด้วยหัวมันฝรั่งกับด้ามไม้กวาดเก่า ๆ ในครัวของแม่ ไม่นานนักพ่อของเขาก็ได้เห็นความเป็นอัจริยะ จึงได้จัดให้มีการแข่งขันท้าประลองเกิดขึ้น และ Willie ก็สามารถเอาชนะคู่แข่งที่มีอายุและประสบการณ์เหนือกว่าตนเองมากมายได้ ทั้ง ๆ ที่เขายัง ต้องยืนบนกล่องต่อขาเพื่อให้สูงถึงโต๊ะจนเล่นได้ก็ตาม

ใน ปี 1919 ได้มีการจัดการแข่งขันระหว่างหนูน้อย Willie วัย 6 ขวบและแชมป์โลกอย่าง Ralph Greenleaf แม้ Greenleaf จะเป็นผู้ชนะแต่ Willie ก็เล่นได้ดีมากและทำให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบิลเลียดอาชีพตั้งแต่บัดนั้น และในปี 1924 Willie ก็ได้เป็นแชมป์ straight pool (พูล 15 ลูก) เยาวชนรุ่นอายุไม่เกิน 11 ปี และมีงานเดินสายโชว์เทคนิคการเล่นอย่างสม่ำเสมอ

ใน ช่วงปี 1941-1957 Willie ก็ได้ครองแชมป์ BCA (Billiard Congress of America) World Championship ถึง15 สมัย เป็นผู้ริเริ่มเทคนิคใหม่ ๆ ในการตีบิลเลียด สร้างสถิติมากมาย และยังช่วยทำให้กีฬาบิลเลียดกลายเป็นที่นิยมอีกด้วย ปัจจุบันเขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติสูงสุดในการตีลูกได้ติดต่อกัน ถึง 526 ลูกในการแข่งขัน Straight Pool












10. Elaina Smith: ผู้ให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตอายุ 7 ขวบ
สถานีวิทยุท้องถิ่นได้เสนองานให้คำ ปรึกษาปัญหาชีวิตกับหนูน้อย Elaina เมื่อเธอโทร. เข้ามาให้คำแนะนำกับหญิงสาวคนหนึ่งที่โทร. มาปรึกษาสถานีเรื่องที่เธอถูกแฟนทิ้ง คำแนะนำง่าย ๆ ของ Elaina คือการบอกให้หญิงสาวผู้นั้นออกไปโยนโบว์ลิ่งกับเพื่อนและก็ดื่มนมสักแก้วนึง โต ๆ และนั่นทำให้เธอได้เวลาจัดรายการแก้ปัญหาชีวิตรายสัปดาห์จากสถานีจนได้รับ ความนิยมจากผู้ฟังนับพัน เธอรับปรึกษาตั้งแต่ปัญหาเรื่องจะทิ้งแฟนอย่างไร จะทำยังไงเมื่อเลิกกับแฟน ไปจนกระทั่งปัญหากลิ่นตัวของพี่น้องในบ้าน

ครั้งหนึ่งได้มีคนฟังโทรศัพท์มาถาม Elaina ว่าทำยังไงเธอถึงจะได้แฟนของเธอกลับมา หนูน้อยบอกไปว่า ” ผู้ชายคนนั้นไม่มีค่าพอที่จะคร่ำครวญถึง ชีวิตคนเรามันสั้นเกินกว่าจะไปเศร้าโศกถึงผู้ชายแค่คนเดียว”





















21 กุมภาพันธ์ 2553

Y2K

Y2K คืออะไร และเรื่องวุ่นวายอย่างไร เมื่อเกิดขึ้น





หลายๆ คนที่เกิดทันยุค Y2K คงรู้เรื่องนี้กันดี แต่คนที่เกิดไม่ทันก็เริ่มไม่รู้เรื่อง เพราะความทรงจำ

และหนังสือ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา

(แต่ใน google ยังมี ลองหาข้อมูลกันดูครับ) และเมื่อเกิดเรื่อง Y2K ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่หลวงระดับโลก

ทำให้ระบบที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมดรวนครับ ซึ่งความเป็นมา มีดังนี้ครับสมัยก่อน แรม 128 KB

(กิโลไบตจริงๆนะครับ) มีราคาแพงมาก (พอๆ กับ DDR2 3 GB ตอนนี้เลย)

ทำให้คนพัฒนาโปรแกรม ต้องประหยัดหน่วยความจำ โดยการใช้ปี 2 หลักแทน เช่น 1993 ก็ใช้ 93 แทน

ซึ่งผลก็คือ เมื่อเลยเที่ยงคืนไป ทำให้ปี รีเซทกลับเป็น 1940 ซึ่งจะทำให้ระบบ เช่น การสื่อสาร โรงพยาบาล ระบบควบคุมต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงไป ส่งผลให้เกิดความเสียหายกันทั่วโลกเลยครับ โดยการเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ผมทราบมา มีดังนี้ครับ- ถ้าคุณคุยโทรศัพท์ตอนวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ต่อเนื่องจนถึง 1 มกราคม 2000 คุณจะโดนคิดค่าโทรศัพท์ย้อนหลัง 100 ปี (โดนมากับตัว)- ระบบกล้องวงจรปิด เกิดอาการรวน และหยุดทำงานเนื่องจากเกิดการ Crash- บัญชีธนาคารทุกคน โดนคิดดอกเีบี้ยล่วงหน้า 100 ปี (จนเจ๊งไปหลายธนาคาร) และ ดอกเบี้ยเงินกู้ โดนคิดล่วงหน้า 100 ปี (จนล้มละลายไปหลายคน / บริษัท)- โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คอมที่ควบคุมเตาปฎิกรรวน (อันนี้เขาปิดทันครับ เลยไม่เจอปัญหา)

Y2K

Y2K คืออะไร และเรื่องวุ่นวายอย่างไร เมื่อเกิดขึ้น


หลายๆ คนที่เกิดทันยุค Y2K คงรู้เรื่องนี้กันดี แต่คนที่เกิดไม่ทันก็เริ่มไม่รู้เรื่อง เพราะความทรงจำ
และหนังสือ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลา
(แต่ใน google ยังมี ลองหาข้อมูลกันดูครับ) และเมื่อเกิดเรื่อง Y2K ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่หลวงระดับโลก
ทำให้ระบบที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งหมดรวนครับ ซึ่งความเป็นมา มีดังนี้ครับสมัยก่อน แรม 128 KB
(กิโลไบตจริงๆนะครับ) มีราคาแพงมาก (พอๆ กับ DDR2 3 GB ตอนนี้เลย)
ทำให้คนพัฒนาโปรแกรม ต้องประหยัดหน่วยความจำ โดยการใช้ปี 2 หลักแทน เช่น 1993 ก็ใช้ 93 แทน
ซึ่งผลก็คือ เมื่อเลยเที่ยงคืนไป ทำให้ปี รีเซทกลับเป็น 1940 ซึ่งจะทำให้ระบบ เช่น การสื่อสาร โรงพยาบาล ระบบควบคุมต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงไป ส่งผลให้เกิดความเสียหายกันทั่วโลกเลยครับ โดยการเสียหายที่เกิดขึ้น ที่ผมทราบมา มีดังนี้ครับ- ถ้าคุณคุยโทรศัพท์ตอนวันที่ 31 ธันวาคม 1999 ต่อเนื่องจนถึง 1 มกราคม 2000 คุณจะโดนคิดค่าโทรศัพท์ย้อนหลัง 100 ปี (โดนมากับตัว)- ระบบกล้องวงจรปิด เกิดอาการรวน และหยุดทำงานเนื่องจากเกิดการ Crash- บัญชีธนาคารทุกคน โดนคิดดอกเีบี้ยล่วงหน้า 100 ปี (จนเจ๊งไปหลายธนาคาร) และ ดอกเบี้ยเงินกู้ โดนคิดล่วงหน้า 100 ปี (จนล้มละลายไปหลายคน / บริษัท)- โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ คอมที่ควบคุมเตาปฎิกรรวน (อันนี้เขาปิดทันครับ เลยไม่เจอปัญหา)

17 กุมภาพันธ์ 2553

4 กรุงที่โมนติกที่สุดในโลกกกก

กรุงโรม



โรม (อิตาลี: Roma อ่านว่า โรมา; อังกฤษ: Rome) เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5 ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์
นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย




ประเทศออสเตรีย : กรุงเวียนนา












ออสเตรียตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยุโรปตอนกลาง ทำให้เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างยุโรปตะวันออก กับยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติด 8 ประเทศ คือ เยอรมัน สาธารณรัฐเช็ค สาธารณรัฐสโลวัค ฮังการี สโลเวเนีย อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ พื้นที่ 83,855 ตารางกิโลเมตร (เล็กกว่าไทย 6 เท่า) ภูมิประเทศ ประกอบด้วยเทือกเขาสูงซึ่งอุดมด้วยแร่ธาตุและที่ราบลุ่มเพื่อการเพาะปลูก แม่น้ำดานูบไหลผ่านออสเตรียเป็น ระยะทาง 220 ไมล์ ร้อยละ 46 ของพื้นที่ประเทศเป็นป่าไม้ ออสเตรียมีภูมิประเทศที่สวยงามจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของยุโรป มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากในแต่ละปี เมืองหลวง กรุงเวียนนาเป็นเมืองหลวงของออสเตรีย เป็นที่ตั้งของสำนักงานสหประชาชาติแห่งที่สาม และเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะการดนตรี ประชากร 8 ล้านคน ร้อยละ 98 พูดภาษาเยอรมัน ศาสนา ร้อยละ 78 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค ร้อยละ 5 นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ มีผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวนประมาณ 160,000 คนกฎหมายออสเตรียให้เสรีภาพแก่คนที่มีอายุ 14 ปี ในการเลือกนับถือศาสนา
ข้อมูลทั่วไปคนออสเตรียเป็นคนอนุรักษ์นิยมไม่ชอบความรุนแรง รักธรรมชาติ สนับสนุนรัฐสวัสดิการและความมั่นคงในการทำงาน และส่งเสริมการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม หลีกเลี่ยงความขัดแย้งและความรุนแรง และพยายามประสานผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยและมั่นคง
ออสเตรียมีการผสานประโยชน์ที่ดีระหว่างนายจ้างและลูกจ้างทำให้แทบไม่มีการนัดหยุดงาน และช่วยให้อัตราการว่างงานออสเตรียอยู่ในระดับต่ำ
การเมือง การปกครองออสเตรียเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประกอบด้วย 9 จังหวัด คือ Burgenland, Carinthia, Lower Austria, Upper Austria, Salzburg, Styria, Tirol, Vorarlberg และเวียนนา (ซึ่งเป็นเมืองหลวงและจังหวัด) แต่ละจังหวัดมีอำนาจปกครองเป็นอิสระ โดยทั่วไปจังหวัดมีอำนาจในการออกกฎหมายและระเบียบข้อบังคับเพื่อการปกครองตนเองเกือบทุกเรื่อง ยกเว้น การต่างประเทศและการป้องกันประเทศ แต่ละจังหวัดมี Governor ซึ่งได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร มีสภาผู้แทนราษฎรของจังหวัดซึ่งมาจากการเลือกตั้ง
ออสเตรียมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ โดยได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 6 ปี ส่วนนายกรัฐมนตรีได้รับการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจากหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงข้างมากในสภา ส่วนรัฐสภาประกอบด้วย สภาล่าง มีสมาชิก 183 คน ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนทุก 4 ปี และสภาสูง มีสมาชิก 64 คน ได้รับเลือกจากสภาจังหวัด
ศาลเป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ มีศาลพิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญา (โทษสูงสุดในคดีอาญา คือ จำคุกตลอดชีวิต ไม่มีโทษประหารชีวิต) และมีศาลพิเศษ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร และศาลปกครองให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จากการละเมิดบทบัญญัติของกฎหมาย นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญหรือการกระทำมิชอบโดยฝ่ายบริหาร
เศรษฐกิจเศรษฐกิจของออสเตรียพึ่งพาการผลิตภาคอุตสาหกรรมและรายได้จากการค้า การบริการและการท่องเที่ยวเป็นหลัก และเป็นประเทศที่มั่งคั่งมากประเทศหนึ่งในยุโรป มีรายได้ประชาชาติต่อหัว 24,000 เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนมีการศึกษาสูงและ มีคุณภาพชีวิตที่ดี
อุตสาหกรรมการผลิตที่สำคัญ คือ เครื่องจักร อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์ เหมืองแร่ อุตสาหกรรมเคมีและสิ่งทอ การเกษตร สามารถผลิตได้เพียงพอบริโภคภายในประเทศ
ระบบเศรษฐกิจออสเตรียเป็นแบบเสรีนิยมผสมสังคมนิยม ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและทรัพย์สิน แต่รัฐจะเข้ามีบทบาทในการดำเนินอุตสาหกรรมหลักที่สำคัญ และกิจการสาธารณูปโภค
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศออสเตรียดำเนินนโยบายเป็นกลางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และประสบความสำเร็จในการสถาปนากรุงเวียนนาเป็นสำนักงานแห่งที่สามขององค์การสหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ. 1979 นโยบายเป็นกลางของออสเตรียเป็นไปในลักษณะ active neutrality โดยให้ความร่วมมือในการรักษาสันติภาพและให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยชนและการบรรเทาภัยพิบัติ
ไทย-ออสเตรียความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับออสเตรียมีมายาวนานกว่า 125 ปี ปัจจุบันไทยมีสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา และมีสถานกงสุลกิตติมศักดิ์อยู่ที่เมือง Innsbruck, Salzburg และ Dornbine ส่วนออสเตรียมีสถานเอกอัครราชทูตอยู่ที่กรุงเทพฯ




3.กรุงลอนดอน








ลอนดอน ( ฟังการออกเสียง (ข้อมูล); อังกฤษ: London; เสียงอ่าน: /ˈlʌndən/) เป็นเมืองหลวงของอังกฤษ และสหราชอาณาจักร และเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป [7]

ลอนดอนเป็นหนึ่งในศูนย์กลางสำคัญทางธุรกิจ การเมือง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของโลก เป็นผู้นำด้านการเงิน[8] การเมือง การสื่อสาร การบันเทิง แฟชั่น และศิลปะ และเป็นที่ยอมรับว่ามีอิทธิพลไปทั่วโลก ถือกันว่าเป็นเมืองสากลหลักของโลก จีดีพีของลอนดอน คิดเป็นร้อยละ 19.5 ของสหราชอาณาจักร

ลอนดอนมีประชากรประมาณ 7.5 ล้านคน (ข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2549) และประมาณ 12 - 14 ล้านคนถ้ารวมนครหลวงลอนดอนและปริมณฑล ลอนดอนเป็นเมืองที่ประกอบด้วยหลายชนชาติอย่างมาก ประชากรมีความหลากหลายทั้งด้านเชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา และภาษา ซึ่งประมาณว่ามีมากกว่า 300 ภาษา[9] เราเรียกชาวลอนดอนว่า ลอนดอนเนอร์ (อังกฤษ: Londoner)

ลอนดอนเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในระดับนานาชาติ และเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของทวีปยุโรป โดยสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในลอนดอน คือ ท่าอากาศยานนานาชาติฮีทโธรว์

4.กรุงปารีส




ปารีส (ฝรั่งเศส: Paris /paˈʁi/ ปารี) เป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่บนแม่น้ำแซน บริเวณตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส บนใจกลางแคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์ (Île-de-France หรือ Région parisienne (RP) ) ภายในกรุงปารีสมีประชากรประมาณ 2,167,994 คน[2] เขตเมืองปารีส (Unité urbaine) ซึ่งมีพื้นที่ขยายเกินขอบเขตอำนาจการปกครองของเมืองนั้น มีประชากรกว่า 9.93 ล้านคน (พ.ศ. 2547) [3] ในขณะที่เขตมหานครปารีส (Agglomération parisienne) มีประชากรเกือบ 12 ล้านคน[4]และเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีประชากรสูงที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปยุโรป[5]

จากการตั้งถิ่นฐานมากว่า 2 พันปี ปัจจุบันกรุงปารีสเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่ล้ำสมัยแห่งหนึ่งของโลก และด้วยอิทธิพลของการเมือง การศึกษา บันเทิง สื่อ แฟชั่น วิทยาศาสตร์และศิลปะ ทำให้กรุงปารีสเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[6] แคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศส ด้วยจำนวนเงินกว่า 500.8 ล้านล้านยูโร (628.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งมากกว่าหนึ่งส่วนสี่ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2548[7] กรุงปารีสยังเป็นสถานที่ทำการของบริษัทยักษ์ใหญ่ 36 บริษัทจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 บริษัทจากการสำรวจของฟอร์จูน โกลบัล 500 (Fortune Global 500) อีกด้วย[8] โดยเฉพาะย่านธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของทวีปยุโรป ลา เดฟองซ์[9] ทั้งยังเป็นที่จัดงานนิทรรศการต่างๆ ซึ่งรวมถึงสหประชาชาติ ฯลฯ

ปารีสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งในโลก โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี[10] กรุงปารีสเป็นหนึ่งใน 4 นครสำคัญของโลก อีกสามนครคือ ลอนดอน, โตเกียว และ นิวยอร์ก